Abstract:
กากน้ำปลาเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากอุตสาหกรรมน้ำปลา ซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ยังคงมีสารอาหารที่มีคุณค่าสูง ในกระบวนการผลิตน้ำปลาในโรงงานอุตสาหกรรม โปรตีนจากปลาจะถูกย่อยให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลงด้วยเอนไซม์จากระบบย่อยอาหารของปลา และเอนไซม์จากแบคทีเรียทนเค็มในบ่อหมัก จึงสามารถจัดเป็นโปรตีนไฮโดรไลเซทที่เกิดตามธรรมชาติได้ กากน้ำปลาแบ่งออกเป็น 3 ระดับชั้นคุณภาพ ตามระดับของน้ำปลาที่ผลิตและระยะเวลาในการหมัก ซึ่งทำให้โมเลกุลของเปปไทด์ในโปรตีนไฮโดรไลเซทมีขนาดแตกต่างกันด้วย
งานวิจัยนี้สนใจศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของเปปไทด์จากกากน้ำปลาเพื่อนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์พลอยได้ โดยฤทธิ์ทางชีวภาพที่ถูกศึกษา ได้แก่ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ความสามารถในการจับกับไอออนของโลหะ ฤทธิ์ลดความดันโลหิต ฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของจุลชีพ และฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง กากน้ำปลาถูกนำมาศึกษาวิธีสกัดที่เหมาะสมและวิธีแยกเปปไทด์ออกจากเกลือโดยใช้ gel-filtration chromatography ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าความเข้มข้นของโปรตีนในกากน้ำปลามีค่าลดลงตามระดับชั้นคุณภาพที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ปริมาณโปรตีนไม่มีความสอดคล้องโดยตรงกับฤทธิ์ทางชีวภาพ กากน้ำปลาระดับชั้นคุณภาพที่ 1 มีความสามารถในการยับยั้งอนุมูล DPPH และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ angiotensin-converting enzyme ได้ดีกว่าอีกสองระดับชั้นคุณภาพ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.32 0.02
mg/mL และ 0.99 0.40 mg/mL ตามล้าดับ กากน้ำปลาระดับชั้นคุณภาพที่ 2 มีความสามารถในการยับยั้งอนุมูล hydroxyl และจับกับไอออนของโลหะได้ดีที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.36 0.01 mg/mL และ EC50 เท่ากับ 1.00 0.12 mg/mL ตามลำดับ กากน้ำปลาระดับชั้นคุณภาพที่ 2 และ 3 แสดงคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย S. aureus, E. coli and X. oryzae pv. oryzae ได้บางส่วน อย่างไรก็ตามกากน้ำปลาทั้งสามระดับชั้นคุณภาพไม่มีแสดงคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับชนิด HepG2 ทั้งนี้ โครงการวิจัยต่อเนื่องในปีที่สองจะมุ่งเน้นไปที่การแยกส่วนเปปไทด์ที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพตามคุณสมบัติของเปปไทด์ และมุ่งเน้นการทำบริสุทธิ์เปปไทด์เพื่อนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าของกากน้ำปลาต่อไป