Abstract:
ไทยตอนบนเป็นแหล่งรองรับธาตุอาหารจากแม่น้ำสายหลัก มีลักษณะเป็นอ่าวกึ่งปิดทำให้การหมุนเวียนและการถ่ายเทของมวลน้ำเกิดขึ้นได้น้อยส่งผลให้การกระจายตัวของสารอาหารสูงอยู่รวมกันได้นาน โดยเฉพาะช่วงที่มีปริมาณน้ำฝนสูงจะเกิดการชะล้างธาตุอาหารลงสู่แหล่งน้ำเป็นเหตุให้เกิดภาวะยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication) ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำที่เป็นอันตรายต่อสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ การศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคลอโรฟิลล์-เอ ด้วยอุปกรณ์ตรวจวัด MODIS บนดาวเทียม AQUA กับปริมาณธาตุอาหารบนลุ่มน้ำย่อยด้วยแบบจำลอง อุทกวิทยาเชิงกายภาพ (SWAT) บริเวณอ่าวไทยตอนบนของประเทศไทย ในช่วงปีพ.ศ. 2555-2559 ผลการศึกษาพบว่า ดาวเทียม Aqua MODIS มีประสิทธิภาพในการตรวจวัดข้อมูลคลอโรฟิลล์-เอที่ผิวทะเล โดยปริมาณคลอโรฟิลล์-เอที่ผิวทะเลอ่าวไทยตอนบนในรอบปีมีความหนาแน่นสูงในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน และมีค่าต่ำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และปริมาณน้ำฝน ก่อนหน้าหนึ่งเดือนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับปริมาณคลอโรฟิลล์-เอ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตรเพิ่มขึ้น และพื้นที่ป่าไม้ ลดลง มีผลต่อลักษณะการไหลของน้ำท่าและการชะล้างธาตุอาหารบนพื้นดิน ส่งผลให้ปริมาณ ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสเปลี่ยนไปบนลุ่มน้ำย่อยบริเวณอ่าวไทยตอนบนของแบบจำลอง SWAT ค่าเฉลี่ยปริมาณไนโตรเจนและฟอสฟอรัสบริเวณอ่าวไทยตอนบนของแต่ละลุ่มน้ำย่อย ไม่แตกต่างกันในแต่ละสถานีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และยังพบว่าปริมาณไนโตรเจน และฟอสฟอรัสสูงในช่วงเวลาหนึ่งจะส่งผลทำให้มีปริมาณคลอโรฟิลล์-เอ ที่ผิวทะเลหนาแน่นขึ้นในเวลาต่อมา ประสิทธิภาพการประเมินปริมาณธาตุอาหารของแบบจำลอง SWAT บนลุ่มน้ำย่อย บริเวณอ่าวไทยตอนบน ยังไม่มีความถูกต้อง แม่นยำตรงกับสภาพลุ่มน้ำจริงมากนัก เนื่องจากมีข้อจำกัด ข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดในพื้นที่จริงไม่อาจนำมาใช้เป็นตัวแทนข้อมูลในการปรับเทียบได้ แต่สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานไปสู่การวางแผนการจัดการลุ่มน้ำ การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และป้องกันผลกระทบจากการเกิดปรากฏการณ์ยูโทรฟิเคชั่นได้ในอนาคต