Abstract:
งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาการวิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP บนอุปกรณ์ตรวจวัดแบบกระดาษโดยอาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงสีของสารประกอบเชิงซ้อนของ Fe3+ ([Fe(TPTZ)]3+) ที่มีสีน้ำตาลอ่อนถูกรีดิวซ์ไปเป็นสารประกอบเชิงซ้อนของ Fe2+ ([Fe(TPTZ)]2+) ซึ่งมีสีน้ำเงิน อุปกรณ์ตรวจวัดแบบกระดาษนี้สร้างขึ้นให้มีรูปร่างเป็นแบบหลุม (well) มีขนาดเส้น ผ่านศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ด้วยวิธีพิมพ์ด้วยขี้ผึ้ง (wax printing) ลงบนกระดาษกรอง whatman เบอร์ 4 เพื่อสร้างบริเวณส่วนกั้นที่ไม่ชอบน้ำ (hydrophobic barrier) ไว้สำหรับในการวิเคราะห์สารทำการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการเคราะห์ ได้แก่ ความเข้มข้นของ Fe3+ ที่ เหมาะสมสำหรับการเตรียมสารละลาย FRAP รีเอเจนต์ และเวลาในการเกิดปฏิกิริยาบนอุปกรณ์ตรวจวัด โดยใช้สารมาตรฐานคือ กรดแกลลิก จากการทดลองพบว่าความเข้มข้นของ Fe3+ ที่เหมาะสมเท่ากับ 60 มิลลิโมลาร์ และเวลาที่เหมาะสมของการเกิดปฏิกิริยาของสารต้านอนุมูลอิสระมาตรฐานบนอุปกรณ์ตรวจวัดแบบกระดาษอยู่เท่ากับ 5 นาที จากการวิเคราะห์สารต้านอนุมูลอิสระมาตรฐานกรดแกลลิกและทรล็อกซ์ด้วยอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นพบว่า มีช่วงความเป็น เส้นตรงที่ 0.1-2.0 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรและ 0.5-2.5 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรตามลำดับ ค่าการทำซ้ำดีโดยมีค่าร้อยละส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมพัทธ์ 4.45-14.75 และ 8.26-17.05 จากการวิเคราะห์กรดแกลลิกและโทรล็อกซ์ที่มีความเข้มข้นในช่วงกราฟมาตรฐานซ้ำ 8 ครั้ง มีขีดจำกัดการตรวจวัดเท่ากับ 0.07 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรและ 0.30 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร สำหรับการวิเคราะห์กรดแกลลิคและโทรล็อกซ์ ตามลำดับ และผลการศกึษาความแม่นของการวิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของวิธี FRAP ที่พัฒนาขึ้น (paper-based device) เทียบกับวิธี FRAP แบบดั้งเดิม (spectrophotometric assay) โดยวิเคราะห์ตัวอย่างชาจำนวน 14 ตัวอย่าง พบว่าผลการวิเคราะห์ได้จากทั้งสองวิธีให้ค่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95