Abstract:
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นอุตสาหกรรมทีสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยปริมาณมหาศาล แต่เนื่องด้วยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบพัฒนาที่นิยมเลี้ยงกันในปัจจุบันเป็นระบบการเพาะเลี้ยงแบบพมฯาที่นำมาซึ่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้มและระบบเพาะเลี้ยงเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม การเกิดโรคระบาดบ่อยครั้ง การสะสมของสารอินทรีย์ในปริมาณสูงและมีผลกระทบต่อระบบนิเวศของสิ่งแวดล้อม ดังนั้นทางเลือกหนึ่งที่สามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้คือ การใช้โพรไบโอติก ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการย่อยสลายสารอินทรีย์
ยับยั้งการเจริญของเชื้อก่อโรค กระตุ้นภูมิคุ้มกันและส่งเสริมการทำงานของระบบทางเดินอาหารของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำมีอัตราการเจริญเติบโตและอัตราการรอดชีวิตเพิ่มสูงขึ้น อำกทั้งการใช้โพรไบโอติกทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและให้ผลที่ยั่งยืน ซึ่งการใช้โพรไบโอติกในอดีตนั้นมุ่งเน้นใช้งานในผลิตภัณฑ์
อาหารคนและอาหารปศุสัตว์ ในขณะที่การใช้โพรไบโอติกเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพิ่งได้รับความสนใจเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการใช้โพรไบโอติกในการเพาะเลี้ยงสัตว์นำในปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากช่วยเพิ่มผลผลิตของสัตว์น้ำและช่วยลดปัญหาการเกิดโรคได้มาก แต่อย่างไรก็ตามการใช้โพรไบโอติกในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทั้งนี้เกิดจากข้อจำกัดประการหนึ่งของผลิตภัณฑ์โพรไบโอติก คือ ปริมาณและชนิดของจุลินทรีย์ไม่ตรงตามที่กำหนดบนฉลากของผลิตภัณฑ์
รวมทั้งจุลินทรีย์มีอายุการใช้งานไม่นานเพียงพอทำให้เมื่อผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการเก็บรักษานานขึ้นจะมีปริมาณและชนิดของจุลินทรีย์ลดลง และทำให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีคุณภาพลดลง ดังนั้นการใช้โพรไบโอติกในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในอนาคตนั้นควรมีหน่วยงานทางวิชาการแนะนำให้มีการใช้โพรไบโอติกที่มีประสิทธิภาพได้มาตรฐาน
เนื่องจากการใช้โพรไบโอติกนอกจากช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตและอัตราการรอดชีวิตของสัคว์น้ำได้แล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตจากค่าใช้จ่ายในการใช้ยาปฏิชีวนะและลดการดื้อยาของเชื้อก่อโรคที่สร้างปัญหาให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและที่สำคัญที่สุดจะทำให้ผลผลิตโดยรวมของผลผลิตสัตว์น้ำของประเทศไทยมีคุณภาพสูงขึ้นและไม่มีการตกค้างหรือปนเปื้อนของยาปฏิชีวนะ