Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสบอิทธิพลของการเพ่งความสนใจที่มีต่อสมรรถนะทางอารมณ์และความผาสุกของนิสิตปริญญาตรี และตรวจสอบอิทธิพลของเพศต่อโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างการเพ่งความสนใจ สมรรถนะทางอารมณ์ และความผาสุกของนิสิตระดับปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่าง ได่แก่ นิสิตปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ถึง 4 ของมหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตบางแสน ปีการศึกษา 2557 ภาคเรียนต้น จำนวน 385 คน (ชาย 194 คน หญิง 191 คน) ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างสมัครใจและยินยอมเข้าร่วมการวิจัยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 3 ฉบับ คือ 1) แบบวัดการเพ่งความสนใจ การตระหนักรู้และการตั้งใจ 2) แบบวัดสมรรถนะทางอารมณ์ และ 3) แบบวัดความผาสุกเชิงจิตวิทยา ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 8-30 เมษายน พ.ศ. 2558 วิเคราะห์สมการโครงสร้างเชิงเส้น ผลวิจัยพบว่า
1.การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของโมเดลการวัดสมรรถนะทางอารมณ์ มีวามสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 2.24, df =2, x2 /df =1.12, p =0.326, GFI =.997, AGFI =0.985, RMSEA =0.018, SRMR =0.011, NNFI =0.999, CFI =1.00)
2. การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของโมเดลการวัดความผาสุขมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 3.843, df =2, x2 /df =0.768, p =0.572, GFI =.997, AGFI =0.986, RMSEA =0.000, SRMR =0.011, NNFI =1.000, CFI =1.00)
3. การเพ่งความสนใจมีอิทธิพลทางตรงต่อสมรรถนะทางอารมณ์ของนิสิตระดับปริญญาตรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .05)
4. การเพ่งความสนใจมีอิทธิพลทางตรงต่อความผาสุขของนิสิตระดับปริญญาตรี (p< .05)
5. สมรรถนะทางอารมณ์มีอิทธฺพลทางตรงต่อความผาสุกของนิสิตระดับปริญญาตรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p< .05) และความผาสุขของนิสิตระดับปริญญาตรีได้รับอิทธิพลทางอ้อมผ่านสมรรถนะทางอารมณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .05)
6. การเพ่งความสนใจไม่มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับสมรรถนะทางอารมณ์ โดยมีค่า Standard coefficient เท่ากับ 01.119 และไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p> .05) แสดงว่า การเพ่งความสนเหมาะที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแปรคั่นกลาง มากกว่าที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแปรกำกับระหว่างสมรรถนะทางอารมณ์และความผาสุกของนิสิตระดับปริญญาตรี
7. เพศไม่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างการเพ่งความสนใจสมรรถนะทางอารมณ์ และความผาสุกของนิสิตระดับปริญญาตรี