Abstract:
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (research and development) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงผสม (mixed research) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย และ 4) เพื่อสร้างแนวทางป้องกันการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กชายที่ขายบริการทางเพศ ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ จำนวน 140 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย จากการศึกษา พบว่า ไม่มีเด็กชายที่อายุต่ำกว่า 18 ปีขายบริการทางเพศ แต่อาจจะพบเด็กชายที่อายุน้อยกว่า 20 ปีอยู่บ้าง แต่ไม่มาก 2) การเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย จากการศึกษา พบว่า เพื่อนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะชักชวนเข้ามาทำงาน และใช้วิธีปากต่อปากบอกต่อกันไป 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย จากผลการวิจัย พบว่าเจตคติต่อพฤติกรรมการทำงาน และค่านิยมทางเพศมีผลต่อการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศ และ 4) แนวทางป้องกันการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศของเด็กชายในประเทศไทย ผลการวิจัย พบว่า สิ่งที่จะสามารถสร้างแนวทางป้องกันการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศของเด็กชายได้ก็คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัว เด็กชายขายบริการส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่แตกแยก และเด็กมักจะหนีออกจากบ้าน รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยสนิทกับพ่อแม่สักเท่าใด ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถเป็นแนวทางป้องกันการเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศ คือ ครอบครัว พ่อแม่ที่ตัดสินใจที่จะมีบุตรต้องให้ความรัก ความเอาใจใส่ และดูแลเลี้ยงดูลูกของตนให้ดี ไม่ให้เกิดปัญหาบ้านแตก และทำให้เห็นเด็กต้องหนีออกจากบ้าน และท้ายที่สุดก็ดิ้นรนทำงานทุกประเภทเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเอง แม้อาชีพนั้นจะผิดกฎหมายก็ตาม แนวทางที่สอง คือ โรงเรียนต้องสร้างชุดความรู้ที่สำคัญของการสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถ้าเด็กคนหนึ่งจะต้องมาขายบริการทางเพศ พวกเขาจะลดทอนความเป็นคน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพียงใด ซึ่งในโรงเรียนไม่มีการพูดถึง ไม่มีการให้ความรู้ ดังนั้นโรงเรียน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสร้างชุดความรู้นี้ และสร้างความตระหนักให้กับเด็ก เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าสู่กระบวนการขายบริการทางเพศ รวมไปถึงต้องสร้างชุดความรู้ และการตระหนักรู้คู่ขนานไปกับการขายบริการทางเพศ และการซื้อบริการทางเพศด้วยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากแค่ไหน เป็นการทำร้าย และทำลายโอกาสของผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคมมากเพียงใด และแนวทางที่สาม คือ รัฐต้องสร้างการตระหนักรู้ให้ประชาชนได้รู้ถึงบทลงโทษทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้นว่าการขายบริการทางเพศ และการซื้อบริการทางเพศนั้นต้องได้รับโทษทางกฎหมายมากน้อยเพียงใด แต่อย่างไรก็ตามนอกจากบทลงโทษทางกฎหมายแล้ว รัฐต้องประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงคณะค่าความเป็นมนุษย์ รวมไปถึงความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน การขายบริการทางเพศ และซื้อบริการทางเพศส่งผลร้ายแรงต่อการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์มากเพียงใดอีกด้วย