กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้: https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/9958
ระเบียนเมทาดาทาแบบเต็ม
ฟิลด์ DC ค่าภาษา
dc.contributor.advisorสุธี ประศาสน์เศรษฐ
dc.contributor.authorภัทรมน สุวพันธุ์
dc.contributor.otherมหาวิทยาลัยบูรพา. คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
dc.date.accessioned2023-09-18T07:36:19Z
dc.date.available2023-09-18T07:36:19Z
dc.date.issued2563
dc.identifier.urihttps://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/9958
dc.descriptionดุษฎีนิพนธ์ (ร.ด.)--มหาวิทยาลัยบูรพา, 2563
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเป็นชายขอบของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและพื้นที่โดยรอบอุทยานฯ และผลกระทบจากการถูกทำให้เป็นชายขอบ ซึ่งเกิดจากอำนาจรัฐ ทุน และวัฒนธรรมสมัยใหม่รวมทั้งศึกษาปฏิกิริยาต่าง ๆ ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่มีต่อการจัดการป่าและที่ดินของรัฐรวมทั้งศึกษานิเวศวิทยาชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เพื่อนำไปสู่แนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องปัญหาการจัดการทรัพยากรป่าและที่ดินในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม จุดยืนทางญาณวิทยาของผู้วิจัยจึงเป็นจุดยืนของเศรษฐศาสตร์การเมืองแนววิพากษ์ที่มุ่งสลายมายาคติและเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นสำหรับกลุ่มชาติพันธ์ที่ศึกษา โดยผู้วิจัยยืนใช้หลัก Standpoint Epistemology ยืนอยู่ข้างเดียวกับผู้ถูกกดขี่ขูดรีด โดยวิธีวิทยาการวิจัยนี้จะเป็นการวิจัยในระดับพื้นที่ เพื่อการต่อต้านใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบ Standpoint Epistemology ทำการศึกษาผ่านมุมมองทางเศรษฐศาสตร์การเมืองเชิงบูรณาการผลการศึกษาพบว่า กะเหรี่ยงแก่งกระจานนั้น ต้องตกอยู่ในภาวะ“คนตกขอบ” เนื่องจากปัจจัยหลายประการไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของรัฐส่วนกลางในการจัดการทรัพยากรที่ทำให้ไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนตามวิถีชีวิตดั้งเดิม และนำมาซึ่งการสูญเสียอัตลักษณ์หลายประการไม่ว่าจะเป็นวิถีการดำรงชีวิต รวมทั้งประเพณีต่าง ๆ ที่สูญหายไป ยิ่งกว่านั้นการเข้ามาจัดการทรัพยากรป่าของรัฐยังทำให้กะเหรี่ยงแก่งกระจานถูกกระทำด้วยความรุนแรงจากกลไกอำนาจรัฐที่มีลักษณะเป็นการก่อการร้ายโดยรัฐไม่ว่า จะเป็นการถูกบังคับอพยพ การเผาบ้านเรือน รวมทั้งการฆาตกรรมแกนนำ นอกจากนี้การรุกคืบของทุนนิยมก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้กะเหรี่ยงแก่งกระจานต้องตกอยู่ในภาวะ“ตกขอบ” เมื่อกะเหรี่ยงซึ่งเคยมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ไม่สามารถทำการเกษตร แบบยังชีพได้ต้องกลายมาเป็นแรงงานรับจ้างนอกพื้นที่บางส่วนยังได้รับค่าจ้างน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายเนื่องจากบางคนยังไม่มีบัตรประชาชน หรือต้องกลายเป็นแรงงานนอกระบบภายใต้ความช่วยเหลือของมูลนิธิหนึ่งที่เข้ามาส่งเสริมอาชีพให้แก่สตรี กะเหรี่ยงและต้องกลายเป็นชนชั้นแรงงานเสี่ยงแม้ว่า จะสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจให้แก่กะเหรี่ยงที่เข้าไปร่วม แต่สิ่งที่ต้องแลก คือ การไม่สามารถสืบสานลายผ้าทอที่เป็นอัตลักษณ์ของตนได้เนื่องจากต้องทอผ้าตามลายที่ตลาดต้องการและได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน ซึ่งต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายกำหนด นอกจากนี้การเข้ามาของทุนข้ามชาติที่เข้ามาทำเหมืองหลายประเภทก็ล้วนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงทั้งสิ้น รวมทั้งการเข้ามาทำไม้ของบริษัท ทำไม้ตามนโยบายสัมปทานป่าของรัฐบาลในอดีตที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พื้นที่ป่าในแก่งกระจานสูญเสียไป และทำให้กะเหรี่ยงต้องตกเป็นจำเลยของสังคมว่าเป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนี้การตีตราแปะป้ายต่าง ๆ ที่ลดทอนความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตน ก็ทำให้กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ไม่ต้องการแสดงตัวตน จึงทำให้วัฒนธรรมสมัยใหม่เข้ามากลืนกินวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ดั้งเดิมได้โดยง่าย อย่างไรก็ตามเมื่อมีความพยายามรวมตัวกันเป็นองค์กรชาวบ้านในนามเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการรื้อฟื้นความเชื่อค่านิยม วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยง รวมทั้งได้รณรงค์ผลักดันเชิงนโยบายก็ทำให้ความภาคภูมิใจในวิถีชีวิต ความเชื่อค่านิยม รวมทั้งอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงค่อย ๆ ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาในที่สุดภายใต้ความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งนักวิชาการ สภาชนพื้นเมือง และองค์กรพัฒนาเอกชน
dc.language.isoth
dc.publisherคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
dc.rightsมหาวิทยาลัยบูรพา
dc.subjectมหาวิทยาลัยบูรพา -- สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองและการบริหารจัดการ
dc.subjectกะเหรี่ยง -- การดำเนินชีวิต
dc.subjectวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก
dc.subjectการก่อการร้าย
dc.subjectการก่อการร้าย -- การป้องกันและควบคุม
dc.titleเศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยกระบวนการตกขอบและปฎิกิริยาต่ออำนาจรัฐและทุนของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง : กรณีศึกษากะเหรี่ยงแก่งกระจาน
dc.title.alternativePoliticl economy of super-mrginliztion of kren ethnicity nd their rections to stte power nd cpitlist penetrtion: cse study of kengkrchn
dc.typeวิทยานิพนธ์/ Thesis
dc.description.abstractalternativeThis research aims to study marginalization of Karen ethnic group in Kaengkrachan National Park. The purposes of this qualitative research are to study the political economy of marginalization of Karen ethnic group and effects of being marginalized ,which resulted from the state power, capitalist penetration and modern culture, to study reactions of Karen ethnic group in Kaengkrachan National Park against forest and land management and to study Ethnic ecology of Karen in Kaengkrachan National Park and in the areas around it, in order to find sustainable solutions to conflicts in forest and land management. Epistemology standpoint of the researcher is the standpoint of critical political economy which aims to refute the myth for social change. Research methodology is the area-based research for resistance, the researcher takes the standpoint of the oppressed who have been affected from physical and ideological violence from state power and capitalist penetration by using qualitative research via transdisciplinary critical political economy. The study shows that Karen in Kaengchachan are not only marginalized but indeed super-marginalized from many factors ,for example, the expansion of the state roles in resource management. State’s ban on shifting cultivation has led to the loss of Karen ways of life, identities, and traditions. In addition,the resource management of the state leads to severe Human Rights violations of Karen in Kaengkrachan area including forced evacuation and demolition, intentional community burning and even murder of some leaders of the Karen movement. These state actions amount to “Repressive State Apparatus” which have severely affected the Karen. Moreover, the capitalist penetration is one of the main factors which has caused Karen in Kaengkrachan to live in the conditions of super-marginalized. When Karen cannot maintain their traditional ways of live, cannot conduct shifting cultivation which used to be their subsistence economy, they become proletarianized, seeking jobs outside their communities or become informal workers under support of a foundation which has a career promotion project, even though such project can partly secure the earning for female Karen but what they have to pay is their inherited style of garment.In addition to this the penetration of world capitalists for mining affect the lives of Karen. Moreover, with state concession policy, logging of some companies resulted in enormous loss of forest areas in Kaengkrachan, and in the stigmatization of Karen as deforesters. Such stigmatization and others of its kind diminish their self-esteem, leading to loss of their identity. However, they have tried to establish a people organization called the Network of Karen for Culture and Environment, which has played a vital role in resurrection of their believes, values, ways of life and identities and in campaigning for public policies to protect their identities, so the pride of beliefs, values, ways of life and identities has gradually been resurrected.
dc.degree.levelปริญญาเอก
dc.degree.disciplineเศรษฐศาสตร์การเมืองและการบริหารจัดการ
dc.degree.nameรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต
dc.degree.grantorมหาวิทยาลัยบูรพา
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล:วิทยานิพนธ์ (Theses)

แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม รายละเอียด ขนาดรูปแบบ 
57820030.pdf10.16 MBAdobe PDFดู/เปิด


รายการทั้งหมดในระบบคิดีได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ มีการสงวนสิทธิ์เว้นแต่ที่ระบุไว้เป็นอื่น