กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้: https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/561
ระเบียนเมทาดาทาแบบเต็ม
ฟิลด์ DC ค่าภาษา
dc.contributor.authorภรดี พันธุภากรth
dc.contributor.authorเสกสรรค์ ตันยาภิรมย์th
dc.contributor.authorศมประสงค์ ชาวนาไร่th
dc.contributor.otherมหาวิทยาลัยบูรพา. คณะศิลปกรรมศาสตร์
dc.date.accessioned2019-03-25T08:51:57Z
dc.date.available2019-03-25T08:51:57Z
dc.date.issued2548
dc.identifier.urihttp://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/561
dc.description.abstractโครงการวิจัย เครื่องเคลือบดินเผาเพื่อประดับตกแต่งสถาปัตยกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเครื่องเคลือบดินเผาในงานประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมในอดีต โดยศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบและพัฒนาการจากแหล่งสถาปัตยกรรมที่สำคัญ 6 แห่ง คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัออรุณราชวราราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดราชโอรสารามวรวิหาร วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร และวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม ซึ่งผลการศึกษาแสดงให้เห็นพัฒนาการของเครื่องเคลือบดินเผาประดับตกแต่งสถาปัตยกรรม แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 สมัยรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 เครื่องเคลือบดินเผาประดับตกแต่งเป็นแบบภาชนะ เครื่องถ้วย ชิ้นส่วนของภาชนะ ชิ้นส่วนกระเบื้องที่ฝังลงไปในผิวปูน เครื่องเคลือบแบบเป็นช่อดอก ช่อใบ และแบบที่เป็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ โดยใช้ประดับสถาปัตยกรรมในแบบอย่างอิทธิพลจีน ที่เรียกว่า แบบพระราชนิยม ระยะที่ 2 ช่วงรัชกาลที่ 4 เครื่องเคลือบดินเผาประดับสถาปัตยกรรม ยังคงมีลักษณะแบบเดิม ได้แก่ การนำชิ้นส่วนของภาชนะมาประดับปูนปั้น เป็นช่อดอกไม้ในแบบแผนที่นิยมมาแต่ในระยะที่ 1 แต่มีแบบอย่างใหม่เพิ่มขึ้น คือ การทำกระเบื้องเคลือบ ดุนลายนูนและเขียนสีเบญจรงค์ ทั้งเป็นการใช้เครื่องเคลือบดินเผาร่วมกับ งานปูนปั้นปิดทองประดับกระจก และหินอ่อน โดยลักษณะเครื่องเคลือบ ในงานสถาปัตยกรรมในระยะนี้ได้แสดงลักษณะแบบไทย ผมผสานกับอิทธิพลจีนที่ยังคงปรากฏอยู่และแสดงลักษณะอิทธิพลตะวันตกในบางส่วน ระยะที่ 3 ช่วงรัชกาลที่ 5 เครื่องเคลือบดินเผา ประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมปรากฎลักษณะแบบไทยอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของกระเบื้องเคลือบ เขียนสีเบญจรงคื มีกลุ่มสีที่โดดเด่น คือ สีเหลือง เขียว แดง น้ำเงิน ขาว ม่วง โดยมีการออกแบบแบ่งลวดลายชิ้นกระเบื้องในแต่ละพื้นที่ขององคืประกอบสถาปัตยกรรมอย่างลงตัว และยังเป็นการออกแบบกระเบื้องเคลือบเขียนสีเบญจรงค์ร่วมกับ งานวัสดุอื่น ๆ ได้แก่ งานปูนปั้นปิดทองงานปิดทองประดับกระจก งานประดับมุก แต่มีการตกแต่งภายใน ในแบบอย่างตะวันตกอย่างชัดเจน นอกจากนี้ เครื่องเคลือบดินเผาในงานประดับตกแต่งสถาปัตยกรรม ยังได้แสดงคุณค่าที่สำคัญ 4 ประการ คือ คุณค่าทางความงาม เครื่องเคลือบดินเผาประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมมีความสวยงาม ด้วยชิ้นงานเครื่องเคลือบ และการตัด ต่อ ปะ ติด เสียบ ชิ้นเครื่องเคลือบเป็นช่อเป็นดอก ความงามของรูปร่าง รูปทรง ลวดลาย สีสัน ที่มีความเลื่อมพรายและความเหมาะสมกับรูปแบบสถาปัตยกรรมในแบบพระราชนิยมที่มีอิทธิพลจีน หรือการผสมผสานกับรูปแบบสถาปัตยกรรมในแบบประเพณีไทย คุณค่าทางประโยชน์ใช้สอย มีการนำเครื่องเคลือบดินเผามาทดแทนการใช้ไม้ในงานประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมในแบบเดิม โดยนำมาใช้ในส่วนของเครื่องบน ได้แก่ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบัน นาคสะดุ้ง เนื่องจากไม้ผุพังเสียหายง่าย แต่เครื่องเคลือบดินเผา มีความคงทนในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า คุณค่าทางจิตใจ เครื่องเคลือบดินเผาในงานประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมได้มีรูปแบบและมีความหมายไปในการบูชาพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วยการออกแบบประดิษฐ์ตกแต่งเครื่องเคลือบอย่างประณีต สวยงาม และการสื่อความหมายตามคติความเชื่อด้วยรูปแบบและสัญลักษณ์รูปดอกไม้ สิ่งของ และสัตว์ชนิดต่าง ๆ คุณค่าทางสังคม เป็นการแสดงคุณค่าของการใช้วัสดุเครื่องเคลือบดินเผาที่แตกหักเสียหายมาทำให้เกิดประโยชน์ และการที่ขุนนาง พ่อค้า ประชาชน ร่วมถวายเครื่องถ้วยชามในการประดับตกแต่งอาคารสถาปัตยกรรม เพื่อร่วมในพระราชกุศลในสมัยรัชกาลที่ 3 อันเป็นสิ่งที่แสดงคุณค่าของการมีส่วนร่วมในสังคม การแสดงถึงความทันสมัย ในกระแสความนิยมชาวจีนและการเชื่อมโยงทางศิลปวัฒนธรรมของชาวสยามและชาวจีนเข้าด้วยกัน The principal objective of this project is to study the glazed ceramic architectural ornaments in the past in terms of their styles and evolution. The study was carried out at 6 sites of architecture; namely, Wat Phra Si Rattana Satsadaram or Wat Phra Kaeo, Wat Arun-Temple of Dawn, wat Phra Chetuphon-Wat Pho, Wat Ratcha-orasaram, Wat Chaloem Phra Kiat and Wat Ratchabophit. It was discovered that there were 3 stages of evolution of the glazed ceramic architectural ornaments. stage 1: The reigns of King Rama II and King Rama III, the glazed ceramic ornaments used in Thai architecture during the period were crokery and shards inlaid on stucco to from bouquets of flowers and leaves, as well as roof decorations like Cho Fa (gable finial), Bai Raka (crocket), and Hang Hong (gable ends), with a Chinese influence. The style being preferred by the kings was know as 'Phra Ratchaniyom' or royal favourite style. Stage 2: The reign of King Rama IV, the use of glazed ceramic ornaments; i.e. crockery and shards inlaid on stucco to from bouquets of flowers, continued during this period. However, a new style was discovered which comprised of glazed tiles with embossed motifs and the so-called 'Bencharong' or pentachrome painted decoration. The glazed tiles were used alongside stucco reliefs with glass as well as marble inlays. The glazed ceramic ornaments that gained popularity during this period reflect a blend of traditional Thai style, the lingering Chinese influence, and partly, Western influence. Stage 3: The reign of King rama. V, the glazed ceramic ornaments during this period apparently presented an authentically traditional Thai style as evident from the glazed tiles painted in the Bencharong colors; the outstanding pigments used were yellow, green, red, blue, white and purple. The titles were ornately designed to be divided into sections that formed a complete pattern for a particular area of the architecture. There was also a design of the Bencharong painted glazed titles to be used together with stucco reliefs that were gilded, inlaid with glasses or mother-of-pearl, though the interior decoration was prominently in the Western style. Moreover, the glazed ceramic ornaments reflect 4 values of great significance, which are: Aesthetic value: using the cutting, connecting, patching, attaching and sticking techniques to form a bouquet of flowers, the glazed ceramic ornaments have the forms, shapes, patterns, and colors that are glittering and harmonize well eiher with the architecture of the Chinese influenced Phra Ratchaniyom style, or with the traditional Thai style. Usefulness value: the glazed ceramics were used to replace the decayable wooden ornaments of the old style architecure, particularly the roof decorations such as Cho Fa, Bai Raka, Hang Hong, Na Ban-the pediment, and Nak Sadung-the serpent-like pediment frame. The glazed ceramics were more durable in the same environment. Spiritual value: the glazed ceramic ornaments were made in the forms as well as with the significance that expressed respect to Buddhism and the monarchy through their elaborate and fine designs, production and decoration. They conveyed their meanings according to the religious beliefs through the forms and symbols such as flowers, objects, and animals. Social value: making use of broken pieces of ceramics, and the noblemen, merchants as well as people dedicating the crockery to be used as ornaments for religious architecture as a mean of merit-making in the reign of King Rama III, indicates their participation in society, modernization in the pro-chinese trend as well as the Sino-Siamese cultural relations.th_TH
dc.description.sponsorshipงานวิจัยนี้ได้รับทุนวิจัยจากเงินงบประมาณแผ่นดิน ปี พ.ศ. 2548 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาen
dc.language.isothth_TH
dc.publisherคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาth_TH
dc.subjectการตกแต่งและการประดับสถาปัตยกรรมth_TH
dc.subjectประติมากรรมth_TH
dc.subjectศิลปะการตกแต่งth_TH
dc.subjectสาขาปรัชญาth_TH
dc.subjectเครื่องเคลือบดินเผาth_TH
dc.titleการศึกษาเครื่องเคลือบดินเผาเพื่อประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมth_TH
dc.title.alternativeProject to Study Glazed Ceramic Architectural Ornamentsen
dc.typeResearch
dc.year2548
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล:รายงานการวิจัย (Research Reports)

แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
ไม่มีแฟ้มใดที่สัมพันธ์กับรายการข้อมูลนี้


รายการทั้งหมดในระบบคิดีได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ มีการสงวนสิทธิ์เว้นแต่ที่ระบุไว้เป็นอื่น