กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้: https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/1948
ระเบียนเมทาดาทาแบบเต็ม
ฟิลด์ DC ค่าภาษา
dc.contributor.authorผาณตา วาณิชวัฒนเดชา
dc.contributor.authorเอกรัฐ ศรีสุข
dc.contributor.authorมธุรส พงษ์ลิขิตมงคล
dc.contributor.otherมหาวิทยาลัยบูรพา. คณะวิทยาศาสตร์
dc.date.accessioned2019-03-25T09:09:59Z
dc.date.available2019-03-25T09:09:59Z
dc.date.issued2559
dc.identifier.urihttp://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/1948
dc.description.abstractโรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง แม้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพที่ดีแต่ก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก การนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก พืชสมุนไพรที่นำมาศึกษาในครั้งนี้คือ เร่วหอมมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Etlingera pavieana (Pierre ex Gagnep.) R.M. Sm. อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae ซึ่งพืชในวงศ์นี้หลายชนิดเคยมีรายงานว่ามีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ อีกทั้งสารสกัดจากเหง้าเร่วหอมเคย มีรายงานว่ามีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบด้วย ผลจากการทดสอบฤทธิ์ต้านมะเร็งของสารสกัดเอทานอลจากเหง้าเร่วหอมและส่วนสกัดย่อยเฮกเซน เอทิลอะซิเตท และน้ำ ด้วยวิธี MTT กับเซลล์มะเร็ง 7 ชนิด (HepG2, HCT116, MCF-7, MDA-MB-231, C33A, SiHa และ Hela) เปรียบเทียบกับเซลล์ ที่ไม่ใช้มะเร็ง 2 ชนิด (293T และ HaCaT) พบว่าสารสกัดทุกชนิด (ยกเว้นส่วนสกัดย่อยน้ำ) สามารถลดการมีชีวิตรอดของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารสกัดและเวลาที่ใช้บ่ม และส่วนสกัดย่อยเอทิลอะซิเตทสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ดีที่สุดและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ที่ไม่ใช้มะเร็ง เมื่อนำส่วนสกัดย่อยเอทิลอะซิเตทไปแยกต่อด้วยวิธีคอลัมน์โครมาโตรกราฟ พบว่า sub-fraction ทั้ง 5 ชนิด (F1-F5) สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งที่ใช้ในการทดสอบได้ โดยที่ความเข้มข้นสารน้อยกว่าหรือเท่ากับ 50 μg/ml และเวลาในการบ่มเท่ากับ 24 ชั่วโมง sub-fraction F1 แสดงความเป็นพิษที่จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งและไม่มีผลกระทบต่อการเจริญของเซลล์ที่ไม่ใช้มะเร็ง ซึ่งเซลล์มะเร็งที่ตอบสนองต่อ sub-fraction F1 ได้ดีที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เซลล์มะเร็งปากมดลูกชนิด C33A, เซลล์มะเร็งเต้านมชนิด MDA-MB-231 และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิด HCT116 แสดงให้เห็นว่า sub-fraction F1 มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลากหลายกลุ่มและเหมาะสมที่จะนำไปแยกหาสารประกอบบริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งต่อไปth_TH
dc.description.sponsorshipโครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558en
dc.language.isothth_TH
dc.publisherคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาth_TH
dc.subjectยารักษามะเร็งth_TH
dc.subjectสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์th_TH
dc.subjectเซลล์มะเร็งth_TH
dc.subjectเร่วหอม (พืช) -- การวิเคราะห์th_TH
dc.subjectสารสกัดจากพืช
dc.titleการศึกษาสารที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งจากเหง้าเร่วหอมth_TH
dc.title.alternativeInvestigation of potential anticancer compound from Etlingera pavieana rhizometh_TH
dc.typeResearchen
dc.author.emailpanata@buu.ac.th
dc.author.emailekaruth@buu.ac.th
dc.year2559
dc.description.abstractalternativeCancer is the most common cause of death in Thai people. Although chemotherapeutic drugs can treat many types of cancer effectively, they also cause many side effects to patients. The alternative cancer treatment with potential anti-cancer products from medicinal plants is becoming of high interest. In this study, the ethanolic extract of Etlingera pavieana (Pierre ex Gagnep.) R.M. Sm. (Zingiberaceae family) and its fractions (hexane, ethyl acetate and aqueous fractions) were evaluated for their anti-cancer activity in seven different cancer cell types (HepG2, HCT116, MCF-7, MDA-MB-231, C33A, SiHa และ Hela) and compared to two non-cancerous cell lines (293T and HaCaT) by MTT assay. The results revealed that all extracts (except aqueous fraction) could reduce cell viability of cancer cells significantly in dose- and time- dependent manners and the ethyl acetate fraction exhibited the strongest inhibition on cancer cell growth without causing toxic effect to non-cancerous cell lines. Thus, the ethyl acetate fraction was then separated by column chromatography. The obtaining five sub-fractions, F1 to F5, expressed their cytotoxicity to cancer cells in which only the sub-fraction F1 at 50 μg/ml and 24 h of incubation displayed the antiproliferative capability exclusively towards cancer cells but not the non-cancerous ones. The most three cancer cells sensitive to the sub-fraction F1 were cervical cancer C33A cells, breast cancer MDA-MB-231 cells and colon cancer HCT116 cells indicating that the anticancer effect of sub-fraction F1 is not limited to single cancer cell type and this sub-fraction was thus selected for further identifying the active anticancer compoundsen
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล:รายงานการวิจัย (Research Reports)

แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม ขนาดรูปแบบ 
2560_096.pdf8.92 MBAdobe PDFดู/เปิด


รายการทั้งหมดในระบบคิดีได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ มีการสงวนสิทธิ์เว้นแต่ที่ระบุไว้เป็นอื่น