Abstract:
จากการศึกษาปัญหาทางกฎหมายกรณีการรับฟังข้อมูลจากผู้กระทําผิดในคดียาเสพติด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 พบว่า กฎหมายดังกล่าวยอมรับหลักการการต่อรองรับสารภาพ เพราะหากผู้ให้ถ้อยคําไม่ให้ข้อมูลอันสําคัญและเป็นประโยชน์นําไปสู่การปราบปรามการกระทําความผิด และสอดคล้องกับทฤษฎีควบคุมอาชญากรรม (The crime control model) ถือได้ว่ามีการกลั่นกรองคดีมาแล้วจากพนักงานอัยการกับผู้ต้องหา ทําให้สามารถดําเนินคดีไป ด้วยความเป็นธรรมในประเด็นต่อมา มาตรา 100/2 ได้บัญญัติ “ผู้ต้องหาให้ข้อมูลที่สําคัญและเป็นประโยชน์ในการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลอาจจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นก็ได้” ถือว่า เป็นการใช้ดุลพินิจของศาลที่จะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นก็ได้ซึ่งในทางปฏิบัติก็ใช้ดุลพินิจที่แตกต่างกันออกไปอีกทั้งแนวทางในการรับฟังคําให้การของพยานในชั้นสอบสวนถือเป็นปัญหาในทางปฏิบัติสําหรับผู้ปฏิบัติอย่างมากในการจะขอความร่วมมือจากผู้กระทําความผิดเพื่อให้ความร่วมมือในการให้ถ้อยคําอันเป็นประโยชน์เพื่อขยายผลในคดียาเสพติดต่อไป ผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรจัดทําระเบียบและข้อบังคับ สําหรับการปฏิบัติตามข้อมูลและถ้อยคําอันเป็นประโยชน์ในการปราบปรามการกระทําความผิดยาเสพติดเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติกรณีที่เจ้าพนักงานในชั้นจับกุม และเจ้าพนักงานในชั้นสอบสวนได้รับข้อมูลผู้ให้ถ้อยคําแล้วต้องเสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาอนุมัติโดยอาจกําหนดระยะเวลา นับตั้งแต่วันที่ได้รับข้อมูล และหากเป็นผลให้สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้เจ้าพนักงานนั้น นําเสนอบันทึกการจับกุม และบันทึกการสอบสวน เสนอต่อศาล และเข้าเบิกความเป็นพยาน เพื่อประโยชน์ของผู้ให้ถ้อยคําได้รับการพิจารณาลดโทษจากศาลต่อไป นอกจากนี้ควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ดังนี้ “ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทําความผิด ผู้ใดได้ให้ข้อมูลที่สําคัญ…ให้ศาลลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น