Abstract:
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการรับรู้ระหว่างรูปแบบการเป็นผู้นำของผู้ฝึกสอนกับบรรยากาศการจูงใจความสามัคคีและความเชื่อมั่นในทีมที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในประสิทธิภาพของทีม ข้อมูลได้จากการตอบแบบสอบถามมาตรฐาน 5 ฉบับ คือ แบบสอบถามการรับรู้การเป็นผู้นำของผู้ฝึกสอน แบบสอบถามบรรยากาศการจูงใจ แบบสอบถามความสามัคคีในทีมกีฬาประเภททีม แบบสอบถามความเชื่อมั่นในทีม และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักกีฬากลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพระดัยไทยพรีเมียร์ลีก ปี พ.ศ. 2560 จำนวน 220 คน ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ความเชื่อมั่นในทีมมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในประสิทธิภาพของทีมฟุตบอลอาชีพไทยมากที่สุด 2) รูปแบบการเป็นผู้นำของผู้ฝึกสอนแบบประชาธิปไตยนิยมใช้มากที่สุด 3) รูปแบบการเป็นผู้นำของผู้ฝึกสอนแบบประชาธิปไตย แบบสนับสนุนทางสังคม แบบฝึกและสอน แบบชมเชยหรือเน้นการให้รางวัล มีความสัมพันธ์กับบรรยากาศการจูงใจด้านมุ่งเน้นที่ความชำนาญ 4) รูปแบบการเป็นผู้นำของผู้ฝึกสอนแบบเผด็จการ แบบฝึกและสอน และแบบสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์กับบรรยากาศการจูงใจด้านมุ่งเน้นประสิทธิผล 5) ปัจจัยความสามัคคีในทีมด้านรวมกลุ่มด้วยงานมีอิทธิต่อความเชื่อมั่นในทีมมากกว่ารวมกลุ่มทางสังคม สรุปได้ว่า ปัจจัยด้านรูปแบบความเป็นผู้นำของผู้ฝึกสอนทั้ง 5 แบบ ส่งผลต่อความพึงพอใจในประสิทธิภาพของทีมฟุตบอลอาชีพไทยโดยส่งผ่านตัวแปรทั้ง 3 ตัวแปร ได้แก่ บรรยากาศการจูงใจ ความสามัคคีและความเชื่อมั่นในทีมทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้ฝึกสอนสามารถนำ โมเดลที่พัฒนาขึ้นนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนานักกีฬาและทีมให้ประสบความสำเร็จต่อไป