dc.contributor.advisor |
สุรีพร อนุศาสนนันท์ |
|
dc.contributor.advisor |
สมพงษ์ ปั้นหุ่น |
|
dc.contributor.author |
อิสระ กุลวุฒิ |
|
dc.contributor.other |
มหาวิทยาลัยบูรพา. คณะศึกษาศาสตร์ |
|
dc.date.accessioned |
2023-05-12T03:55:14Z |
|
dc.date.available |
2023-05-12T03:55:14Z |
|
dc.date.issued |
2561 |
|
dc.identifier.uri |
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/7385 |
|
dc.description |
ดุษฎีนิพนธ์ (ปร.ด.)--มหาวิทยาลัยบูรพา, 2561 |
|
dc.description.abstract |
วัตถุประสงค์ของงานวิจัยเพื่อ 1) ประเมินความต้องการจําเป็นด้านการรู้การประเมินผลในชั้นเรียนของครู 2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของคู่มือและวิธีการพัฒนาการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครู ด้วยการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบเสริมพลังอํานาจและ 3) ศึกษาผลการใช้คู่มือและวิธีการพัฒนาการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครู ด้วยการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบเสริมพลังอํานาจการวิจัย
ในครั้งนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ประเมินความต้องการจําเป็นการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครู กลุ่มตัวอย่างคือครูสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออก จํานวน 575 คน ด้วยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage sampling) เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ความตรง
มีค่าระหว่าง 0.60 ถึง 1.00 อํานาจจําแนกมีค่าระหว่าง 0.30 ถึง 0.94 ความเที่ยงมีค่าตั้งแต่ 0.85 ถึง 0.96 วิเคราะห์ข้อมูล คํานวณดัชนีการจัดเรียงลําดับความต้องการจําเป็นโดยใช้สูตร PNI แบบปรับปรุง ระยะที่ 2 สร้างและตรวจสอบคุณภาพ ของคู่มือและวิธีการพัฒนาการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครู
ด้วยการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบเสริมพลังอํานาจ ทําการสร้างและหาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 3 ศึกษาผลการใช้คู่มือและวิธีการพัฒนาการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครู ด้วยการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบเสริมพลังอํานาจกลุ่มเป้าหมายที่อาสาเข้าร่วมพัฒนามีจํานวน 10 คน คือ ครูสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 เครื่องมือที่ใช้ คู่มือวิธีการพัฒนาการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครู ด้วยการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบเสริมพลังอํานาจแบบวัดการรู้การประเมินผลในชั้นเรียนของครู โดยความตรงมีค่าระหว่าง 0.60 ถึง 1.00 อํานาจจําแนกมีค่าระหว่าง 0.30 ถึง 0.95 และความเที่ยงมีค่า ตั้งแต่ 0.85 ถึง 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงบรรยาย
ผลการวิจัย พบว่า 1. ครูมีความต้องการจําเป็นจากความต้องการจําเป็นมากไปหาน้อย ได้แก่ การพัฒนาวิธีการประเมิน การใช้ผลการประเมินเพื่อการตัดสินใจ การรายงานผลการประเมิน การเลือกวิธีการประเมิน การสื่อสารเกี่ยวกับการประเมินผล การให้ระดับผลการเรียนของนักเรียน และจรรยาบรรณการประเมิน
2. วิธีการพัฒนาการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครู ด้วยการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบการเพิ่มอํานาจและคู่มือการพัฒนา มีคุณภาพตามมาตรฐานการประเมิน 4 ด้าน ของ Stufflebeam คือ มีความถูกต้อง มีประโยชน์ มีความเป็นไปได้ และมีความเหมาะสม 3. ครูมีคะแนนพัฒนาทางบวกในเรื่องการรู้การประเมินในชั้นเรียน |
|
dc.language.iso |
th |
|
dc.publisher |
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา |
|
dc.rights |
มหาวิทยาลัยบูรพา |
|
dc.subject |
การประเมินผลทางการศึกษา |
|
dc.subject |
ครู -- การศึกษาและการสอน |
|
dc.subject |
การเรียนรู้ |
|
dc.subject |
กิจกรรมการเรียนการสอน |
|
dc.subject |
ครู |
|
dc.subject |
วิจัยชั้นเรียน |
|
dc.subject |
มหาวิทยาลัยบูรพา -- สาขาวิชาวิจัย วัดผลและสถิติการศึกษา |
|
dc.title |
การพัฒนาการรู้การประเมินในชั้นเรียนของครูด้วยการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบเสริมพลังอำนาจ |
|
dc.title.alternative |
A development of ssessment litercy of primry-school techers through the empowering-ssessment for lerning |
|
dc.type |
วิทยานิพนธ์/ Thesis |
|
dc.description.abstractalternative |
The purposes of this research were to: 1) Assess needs of teacherson their assessment in the
classroom. 2) Develop and test the quality of the training package to develop assessment literacy of
primary school teachers through the Empowering-Assessment for Learning, and 3) Study the result of
the training package to develop assessment literacy of primary school teachers through the
Empowering-Assessment for Learning.
The research method was divided into three stages. The first stage was to conduct the need
assessment of teacher on theirassessment in the classroom. The sample consisted of575 teachers in the
East of Thailand drawn by Multi-Stage Sampling. The research tool was the questionnaire with the
content validity(IOC) ranged from 0.60 to 1.00. The discriminationindex ranged from 0.30 to 0.94.
The Cronbach's Coefficient ranged from 0.85to0.96. The researcher analyzed the data using the
Priority Need Index (PNImodified). The second stage was developingand testingthe quality of the training
package to develop assessment literacy of primary school teachers through the Empowering-Assessment
for Learning by Expert. The third stage study the result of thetraining packageto develop assessment
literacy of primary school teachers through the Empowering-Assessment for Learning. The research
sample was 10 volunteers who were primary school teacher of Nakhon Ratchasima Educational Area
District Office 6. The research tools was the training package to develop assessment literacy of primary
school teachers through the Empowering-Assessment for Learning. and assessment test, withcontent
validity (IOC) ranged from 0.60 to 1.00. The discriminationindex was ranged from 0.30 to 0.95. The
Cronbach's Coefficient ranged from 0.85to0.89. Descriptive statistics were used for quantitative data
analysis.
The research findings were as follows:
1. The needsof teacher on their assessment in the classroom were; 1) Developing
assessment methods. 2) Using assessment outcomes in decision making. 3) Interpreting learning outcomes4) Choosing an assessment method. 5) Communicating assessment outcomes. 6) Using
assessment to determine levels of learning outcomesand,7) Knowing ethical assessment, respectively.
2. The training methodto develop assessment literacy of primary school teachers through
the Empowering-Assessment for Learning meetingthe requirement of accuracy,utility, feasibility and
propriety.
3. 10 volunteers who were primary school teacher of Nakhon Ratchasima Educational Area
District Office 6 hadpositive of development all teacher developed their Assessment Literacy
accordingly tothe requirement. |
|
dc.degree.level |
ปริญญาเอก |
|
dc.degree.discipline |
วิจัย วัดผลและสถิติการศึกษา |
|
dc.degree.name |
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต |
|
dc.degree.grantor |
มหาวิทยาลัยบูรพา |
|