Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันของข้อคำถามในแบบวัดพหุมิติที่ให้คะแนนหลายค่า ด้วยวิธีโพลีโตมัสซิปเทสท์ วิธีวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันกลุ่มพหุ และวิธีการทดสอบวอลด์ จากอัตราความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 และอำนาจการทดสอบ ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ข้อมูลจำลองโดยจำลองภายใต้โมเดลเกรดเรสพอน พหุมิติ ซึ่งแต่ละข้อคำถามจะมีรายการตอบ 5 รายการ โดยให้คะแนนเป็น 1, 2, 3, 4 หรือ 5 คะแนน ข้อมูลดังกล่าวจำลองผลการตอบข้อสอบภายใต้ปัจจัยที่แปรเปลี่ยน 4 ปัจจัย คือ ความยาวของแบบวัด 2 ขนาด ขนาดของการทำหน้าที่ต่างกัน 3 ระดับ สัดส่วนข้อคำถามที่ทำหน้าที่ต่างกัน 2 ขนาด และขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 5 รูปแบบ รวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องจัดกระทำเพื่อตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันของข้อสอบจำนวน 60 เงื่อนไข (2x3x2x5) ในแต่ละเงื่อนไขวนซ้ำ 100 รอบ ผลการวิจัยพบว่า 1. อัตราความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 ในการตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันของ ข้อคำถามในแบบวัดพหุมิติให้คะแนนหลายค่า วิธีวิเคราะห์องค์ประกอบกลุ่มพหุ และวิธีการทดสอบวอลด์ สามารถควบคุมอัตราความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 ได้ดีกว่าวิธีโพลีโตมัสซิปเทสท์ โดยวิธีวอลด์มีค่าอัตราความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 ต่ำกว่าและควบคุมได้ดีกว่าวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบกลุ่มพหุ เมื่อความยาวของแบบวัดเพิ่มขึ้น 2. อำนาจการทดสอบในการตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันของข้อคำถาม ในการตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันของข้อคำถามในแบบวัดพหุมิติให้คะแนนหลายค่า วิธีวิเคราะห์องค์ประกอบกลุ่มพหุมีอำนาจการทดสอบสูงกว่าวิธีการทดสอบวอลด์ และวิธีโพลีโตมัสซิปเทสท์ ทั้งสามวิธี มีอำนาจการทดสอบสูง และใกล้เคียงทุกเงื่อนไข 3. โดยภาพรวมวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบกลุ่มพหุมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบ การทำหน้าที่ต่างกันของข้อคำถามดีกว่าวิธีวอดล์ เมื่อความยาวของแบบวัดมากขึ้น วิธีวอดล์ มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันดีกว่าวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบกลุ่มพหุ โดยทั้งสองวิธีมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันดีกว่าวิธีโพลีโตมัสซิปเทสท์ ในทุกเงื่อนไข