Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ทำการสังเคราะห์งานวิจัยวิธีการเรียนการสอนและรูปแบบการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ระดับประถมศึกษา เพื่อค้นหาว่ามีวิธีการเรียนการสอนแบบใดที่สร้างทักษะการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองให้กับนักเรียน งานวิจัยที่นำมาสังเคราะห์เป็นงานที่พิมพ์เผยแพร่ระหว่างพ.ศ. 2553 – 2541 งานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์ตามแบบการประเมินคุณภาพ จำนวน 170 เรื่อง เป็นงานที่มีข้อมูลสถิติครบถ้วนนำมาวิเคราะห์แบบ เมตต้า ได้จำนวน 134 เรื่อง และวิเคราะห์เชิงคุณภาพด้วย การวิเคราะห์เนื้อหาจำนวน 26 เรื่อง ผลการสังเคราะห์เชิงปริมาณปรากฏว่า วิธีการเรียนซึ่งมี 2 วิธีนั้น วิธีการเรียนด้วยตนเองมีอิทธิพลต่อผลการเรียนภาษาไทยมากกว่าวิธีการเรียนจากเพื่อน วิธีเรียนด้วยตนเองแสดงผลดีต่อการเรียนทักษะทางภาษาและผลสัมฤทธิ์ วิธีเรียนจากเพื่อนมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนประถมปลายน้อย วิธีการสอนมี 3 วิธี คือ วิธีสอนแบบใช้สื่อ แบบใช้กิจกรรม และแบบสื่อประสมกิจกรรม วิธีการสอนแบบใช้สื่อ เป็นวิธีที่ใช้ทั่วไปในการสอนทั้งประถมต้นและปลาย และมีอิทธิพลต่อผลการเรียนระดับปานกลาง รูปแบบการสอนซึ่งเป็นวิธีเฉพาะส่วนใหญ่ใช้กับการเรียนการสอนระดับประถมปลาย และมีอิทธิพลต่อผลการเรียนน้อย เมื่อวิเคราะห์ความแปรปรวนพบว่า วิธีการเรียน 2 วิธี วิธีการสอน 3 วิธี วิธีและรูปแบบการเรียนการสอนมีอิทธิพลต่อการเรียนภาษาไทยไม่แตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบด้วยค่า t ระหว่างนักเรียนประถมต้นและปลาย พบความแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือ นักเรียนประถมปลายแสดงผลสัมฤทธิ์ที่ดีกว่านักเรียนประถมต้น เมื่อสอนด้วยวิธีการสอนแบบใช้สื่อ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพสอดคล้องกับเชิงปริมาณ วิธีการเรียนด้วยตนเองโดยใช้สื่อการเรียนต่างๆที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและมีคุณภาพตามเกณฑ์ เมื่อนำไปใช้ นักเรียนจะมีผลการเรียนตามเกณฑ์ 80/80 วิธี การสอนนั้นครูส่วนใหญ่สอนตามคู่มอครู และใช้หนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ รูปแบบการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาได้รับการยอมรับและชื่นชมจากครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ไม่มีงานวิจัยที่ฝึกให้นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่ยั่งยืนไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ครู และนักการศึกษา ถ้าจะเริ่มต้นสอนและฝึกการเรียนรู้ที่ยั่งยืน สามารถเริ่มต้นด้วยการพัฒนาจากวิธีการเรียนด้วยตนเอง