dc.contributor.author |
ชลี ไพบูลย์กิจกุล |
|
dc.contributor.author |
เบ็ญจมาศ ไพบูลย์กิจกุล |
|
dc.contributor.other |
มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี. คณะเทคโนโลยีทางทะเล |
|
dc.date.accessioned |
2019-06-21T02:42:58Z |
|
dc.date.available |
2019-06-21T02:42:58Z |
|
dc.date.issued |
2561 |
|
dc.identifier.uri |
http://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/3609 |
|
dc.description.abstract |
การศึกษาครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 การทดลอง การทดลองที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการเจริญเติบโตและการลงเกาะของลูกหอยนางรม (Saccostrea commercialis) บริเวณแม่น้ำพังราด จังหวัดระยอง ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2559 ปัจจัยที่ศึกษาคือ ระยะทางจากปากแม่น้ำถึงตำแหน่งที่ลูกหอยลงเกาะ แบ่งออกเป็น 2 ตำแหน่ง ได้แก่ สถานีห่างจากปากแม่น้ำ 1.4 และ 3.3 กม. แขวนพวกเชือกล่อลูกหอยสถานีละ 10 พวง ตรวจสอบจำนวนและชนิดหอยที่ลงเกาะในเดือนมกราคม วัดความยาวเปลือกหอยทุกเดือน วิเคราะห์จำนวนลูกหอยที่ลงเกาะและความยาวเปลือกด้วยวิธี T-test ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ผลการศึกษาพบว่า จำนวนลูกหอยต่อพวงเชือกเฉลี่ยที่ลงเกาะที่สถานีห่างจากปากแม่น้ำ 1.4 และ 3.3 กม. เท่ากับ 41.10+-11.26 และ 44.60+-14.85 ตัว ตามลำดับ จำนวนลูกหอยเฉลี่ยที่ลงเกาะแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญ (p<0.05) ระหว่างสองสถานี สัดส่วนลูกหอยที่ลงเกาะทั้งสองสถานีเป็นหอยนางรมมากกว่าร้อยละ 84 เปอร์เซ็นต์ หอยชนิดอื่นที่พบได้แก่ หอยตาดำ และหอยเสียบ การเจริญเติบโตของลูกหอบพบว่า ความยาวของเปลือกหอยเฉลี่ยบริเวณสถานีห่างจากปากแม่น้ำ 3.3 กม. จะมีความยาวเปลือกเฉลี่ยมากกว่าบริเวณสถานีห่างจากปากแม่น้ำ 1.4 กม. อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) นะหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม 2559
การทดลองที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสภาพเศรษฐกิจการเพาะเลี้ยงหอยนางรมโดยการล่อลูกหอยธรรมชาติของชุมชนปากแม่น้ำพังราด ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามสัมภาษณ์กับเกษตรกรประกอบวิชาชีพการเพาะเลี้ยงหอยนางรมโดยการล่อลูกหอยตามธรรมชาติ ทั้งหมด 82 ครัวเรือน ในช่วงเดือนมีนาคม ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 แบบสัมภาณ์ประกอบด้วย 3 ส่วน ไก้แก่ คำถามทั่วไป คำถามเกี่ยวกับทัศนคติในการประกอบอาชีพ และคำถามเกี่ยวกับความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรที่ประกอบอาชีพล่อลูกหอยนางรมส่วนใหญ่มีคงามพึงพอใจในการประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่มีอาชีพเสริม เกษตรกรที่ประกอบอาชีพล่อลูกหอยนางรมมีความตระหนักในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมบริเวณชายฝั่งทะเลและบริเวณปากแม่น้ำ และมีการปลูกฝังให้ความรู้กับบุตรหลาน มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาคุณภาพน้ำและป่าชายเลนบริเวณชุมชน และเกษตรกรที่ประกอบอาชีพล่อลูกหอยนางรมส่วนใหญ่มีความคิดว่าสภาพเศรษฐกิจการล่อลูกหอยนางรมจากธรรมชาติของชุมชนบริเวณปากแม่น้ำพังราด จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดระยองในอนาคตไม่มีแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการประกอบอาชีพ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ และราคาผลผลิตมีความไม่แน่นอน เกษตรกรมีความต้องการให้ภาครัฐเข้าช่วยเหลือด้านทุน และการให้ความรู้เกี้ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากร |
th_TH |
dc.description.sponsorship |
โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 |
th_TH |
dc.language.iso |
th |
th_TH |
dc.publisher |
คณะเทคโนโลยีทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี |
th_TH |
dc.subject |
หอยนางรม |
th_TH |
dc.subject |
หอยนางรม -- การเลี้ยง |
th_TH |
dc.subject |
การเพาะเลี้ยงหอยนางรม |
th_TH |
dc.subject |
สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา |
th_TH |
dc.title |
การประเมินศักยภาพการเพาะเลี้ยงหอยนางรมและเศรษฐกิจฐานรากบริเวณชุมชนปากแม่น้ำพังราด |
th_TH |
dc.title.alternative |
Evaluation of oyster culture potential and community economics of Pangrad estuaries community, Rayong Province |
th_TH |
dc.type |
Research |
th_TH |
dc.author.email |
pchalee@buu.ac.th |
|
dc.author.email |
benjamasp@buu.ac.th |
|
dc.year |
2561 |
th_TH |
dc.description.abstractalternative |
This study had two experiments. The first experiment was to examine growth and
settlement rate of oyster spat (Saccostrea commercialis) at Phang Rat Estuary, Rayong
Province during January to July 2016. The factor of the study was the distance from the
estuary to the settlement site which determined two positions, 1.4 and 3.3 km from the
estuary. The ten rope bunch per station was hung on the bamboo raft for oyster spat settlement. Amount and species of spat had been collected in January. Shell length had
been measured every month. Means of the amount of spat and shell length had been
analyzed with T-test at 95% confidence level.
Results illustrated that the average numbers of oyster settlement per rope bunch
at 1.4 and 3.3 km from the estuary were 41.10±11.26 and 44.60±14.85 oysters and had
not significantly different (p>0.05) between the sites. The ratio of settlement oyster spat
per other spat had more than 84 percent. The other settlement spats were Hoy Ta Dam
and Hoy Seap. The growth of spat at 3.3 km from the estuary had significantly (p<0.05)
higher than spat at 1.4 km from the estuary during February to July 2016.
The second experiment was to survey the attitude of oyster spat collector by
interview at Phang Rat estuary, Chanthaburi and Rayong provinces during March to
December 2016. The sample size of this study was 82 household from both areas. The
tool of this study was three section questionnaire including general information, career
attitude, and cooperation in environmental conservation.
The result demonstrated that the oyster spat collector had to satisfy their
career. The most of the farmer had the part-time career. The farmer had aware of
coastal area and estuary conservation and implanted their child to protect seawater and
mangrove in the community. The most of the farmer thought that the economic
situation of oyster spat collection had not changed shortly. The severe problems and
obstacles of this career were the changes of water qualities and the uncertain of the
product price. The farmer needs the helping from the government in the issue of funding
and education of natural resources conservation |
en |