DSpace Repository

พลวัตงานช่างศิลป์ไทย:กระบวนการปรับตัวเพื่อการดำรงอยู่ของช่างปิดทองคำเปลว

Show simple item record

dc.contributor.author นันท์ชญา มหาขันธ์
dc.contributor.author นุสรา จิตตเกษม
dc.contributor.other มหาวิทยาลัยบูรพา. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
dc.date.accessioned 2019-03-25T09:12:40Z
dc.date.available 2019-03-25T09:12:40Z
dc.date.issued 2555
dc.identifier.uri http://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/2119
dc.description.abstract การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาพัฒนาการงานช่างศิลป์ไทยที่ใช้ทองคำเปลว สมัยรัตนโกสินทร์ โดยศึกษาสถานภาพและบทบาท รวมทั้งกระบวนการปรับตัวของช่างปิดทองคำเปลวในปัจจุบัน โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในลักษณะกรณีศึกษา โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า งานช่างศิลป์ไทยนั้นมีพื้นฐานแนวคิดมาจากศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธทำให้มีการใช้อัญมณีมีค่านานาชนิดในการประดับตกแต่งอาคารสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ชนชั้นสูง และศาสนสถาน เพื่อแสดงถึงอำนาจ บารมี ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง และเป็นเครื่องยืนยันยศศักดิ์ บุญกุศล หนึ่งในสิ่งมีค่าเหล่านั้นคือ ทองคำ แต่ในบางช่วงเวลา ภายใต้บริบททางสังคมในแต่ละขณะ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกได้ส่งผลกระทบต่องานช่างปิดทองคำเปลว ซึ่งสามารถแบ่งช่วงพัฒนาการได้เป็น ๓ ช่วง คือ ช่วงที่ ๑ (สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓) ช่วงที่ ๒ (สมัยราชกาลที่ ๔ ถึงราชกาลที่ ๖) และช่วงที่ ๓ (สมัยราชการที่ ๗ ถึงปัจจุบัน) จากการบริบททางสังคมที่เกิดขึ้นสามารถสรุปปัจจัยหลักสำคัญที่ส่งผลต่องานช่างศิลป์ไทยที่ใช้ทองคำเปลวได้ ๔ ประการ คือ ๑.ด้านแนวคิด คติ ความเชื่อ ๒. ด้านการเมืองการปกครอง ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๔. ด้านนวัตกรรม เมื่อปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเข้ามากระทบจะส่งผลต่องานช่างปิดทองคำเปลว ซึ่งอาจเป็นด้านการสนับสนุนหรือการลดทอนการใช้ทองคำเปลวและจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงตัวช่างปิดทองคำเปลวโดยตรง เนื่องจากช่างเป็นผู้ผลิตงานให้กับสังคม สังคมจึงเป็นตัวกำหนดกรอบการทำงานให้กับช่างด้วย ทำให้ช่างหลวง แอละช่างอิสระที่ทำการศึกษายังคงมีสถานภาพความเป็นช่างที่ผลิตงานเพื่อตอบวนองความต้องการของสังคม จึงเป็นการทำงานเพื่องาน เพื่อสร้างฐานะให้กับตนเอง ไม่ได้ทำงานเพื่อสนองตอบอารมณ์ความรู้สึก และไม่ต้องการแสดงตัวตนอย่างที่ศิลปินในปัจจุบันต้องการ สำหรับเทคนิคและกรรมวิธีการปิด ทองคำเปลว ช่างทั้งกลุ่มยังคงมีการทำพื้นที่และการปิดทองด้วยยางรัก และได้มีการพัฒนาใช้วัสดุสมัยใหม่แทนยางรัก คือ สีน้ำมันและอีพ็อคซี่ ส่วนวัสดุทดแทนทองคำ คือสีทองคำวิทยาศาสตร์ได้ถูกนำมาใช้เพิ่มมากขึ้น ช่างทั้งสองกลุ่มมีการประสานงานเชื่อมโยงโดยอาศัยความรู้จักคุ้นเคยกันเป็นสำคัญ ภาระหน้าที่ของช่างด้านการถ่ายทอดสืบสานภูมิปัญญาการปิดทอง ช่างทั้งสองกลุ่มมีการถ่ายทอดจากรุ่นพี่ หรือหัวหน้างาน ไม่มีเอกสารตำราเรียน ฝึกทำกับงานจริง ในสถานที่จริงๆ ส่วนใครจะมีความชำนาญมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ฝึกฝนของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ นอกจากนี้ทางกลุ่มช่างหลวงยังได้มีการเผยแพร่ความรู้การปิดทองคำเปลวไปยังบุคคลภายนอก แต่ก็สอนเฉพาะการปิดทองด้วยสีน้ำมัน ดังนั้นจึงสามารถคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ว่า งานช่างปิดทองคำเปลวจะยังคงมีอยู่ต่อไป ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ายังมีทรัพยากรทองคำ และคนยังให้คุณค่าทองคำ อีกทั้งยังมีสถาบันพระมหากษัตริย์ พุทธศาสนา และมีงานการอนุรักษ์สมบัติของชาติอยู่ แต่มีทิศทางว่าจะถูกปรับใช้วัสดุสมัยใหม่คือ สีน้ำมันทดแทนยางรัก และสีทองคำวิทยาศาสตร์ทดแทนทองคำเปลวแท้มากขึ้น คำหลัก : ศิลปะไทย, ช่างไทย, ทองคำเปลว This thesis is aimed to study the development of Thai art craftsmanship using gold leaf in Rattahakosin period in terms of status and role including adaptation of craftsman at the present. This qualitative study is a case study using data from document and interview. The findings show that the fundamental concept of Thai craftsmanship is derived from Brahmanism and Buddhism which results in majestic grandeur of royal and religious places. For showing the power and prosperity of the nation, decoration of these places must be splendid; therefore, precious stones and metals are used for the decoration and, among those precious materials, gold is the most famous. For convenient use, it is transformed into gold leaf. Social context plays important role on the development and popularity Thai arts, and its development can be divided into three periods. The first period is considered from the reign of King Rama I to King Rama III; the second period is from the reign of King Rama IV to King Rama VI, and the third period is from the reign of King Rama VII until the present. There are four factors affecting the popularity and the style of this type of Thai arts including the craftsmen themselves. Those factors are 1) value and belief of society, 2) political situation, 3) economy, and 4) innovation, Unlike other kinds of artists, craftsmen for this Thai art, both royal and freelance, produce their works from the need of society not for expressing their own emotion and identity. The two groups of craftsmen have still conserved the traditional technique using of lacquer in the processes of background preparation and gold leaf attachment onto the background. Modern gluing agents like oil color and epoxy and scientific gold color are used as substitution for lacquer and real gold leaf. The coordination and communication between two groups of craftsman are in good condition due to their familiarly. The knowledge of this art is transferred from generation to generation without official written document. An individual craftsman has to get into the field practicing in the real scene. The expertise is mostly depended on attention and personal practice. Those royal craftsman although offer knowledge of this art to public, they teach only the using oil color not lacquering. The prediction is that this type of Thai arts will continue as long as gold is valued and exists. In addition, as long as monarchy and Buddhism are two important sectors together with conservation of national heritage in terms of Thai arts, Thai arts using gold left will continuously exist. However, the tendency of using of oil color for lacquer and scientific gold color instead of gold leaf will increase. Keywords: Thai arts, Thai Craftsman , Gold Leaf th_TH
dc.language.iso th th_TH
dc.subject การช่างฝีมือ th_TH
dc.subject ช่างศิลปะไทย th_TH
dc.subject สาขาปรัชญา th_TH
dc.title พลวัตงานช่างศิลป์ไทย:กระบวนการปรับตัวเพื่อการดำรงอยู่ของช่างปิดทองคำเปลว th_TH
dc.type บทความวารสาร th_TH
dc.issue 33
dc.volume 20
dc.year 2555
dc.journal วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.
dc.page 111-126.


Files in this item

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record

Search DSpace


Advanced Search

Browse

My Account