Abstract:
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและสังเคราะห์งานวิจัยที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก ของประเทศไทย ใช้รูปแบบการวิจัยแบบการวิเคราะห์อภิมาน และการวิเคราะห์ชาติพันธุ์วรรณาอภิมาน ประชากรครอบคลุมรายงานการวิจัยที่หน่วยงานจัดทำขึ้น วิทยานิพนธ์ และหรือปริญญานิพนธ์ของนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทยที่ศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในไทย งานวิจัยที่นำมาสังเคราะห์เป็นรายงานวิจัยที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วง 5 ปี (ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2550-2554) กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกโดยพิจารณา เกณฑ์การคัดเลือกเป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุไทย ที่อาศัยในเขต 9 จังหวัดในภาคตัวนออก แบ่งภูมิภาคตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก และสมุทรปราการ ได้งานวิจัยทั้งสิ้น 87 เรื่อง เครื่องมือประกอบด้วย แบบประเมินคุณภาพงานวิจัยตามหลักฐานเชิงประจักษ์ ของคณะอนุกรรมการ Evidence-Based Medicine & Clinical Practice Guidelines ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย (2544) และแบบบันทึกข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ข้อมูลพื้นฐานคุณลักษณะของงานวิจัย พบว่า ปีที่มีการตีพิมพ์หรือแล้วเสร็จมากที่สุด คือ ปี 2553 (ร้อยละ 29.88) รองลงมา คือ ปี 2551 (ร้อยละ 24.14) สถาบันที่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุในภาคตะวันออก มากที่สุด คือ มหาวิทยาลัยของแก่น (ร้อยละ 54.02) รองลงมา คือ มหาวิทยาลัยบุรพา (ร้อยละ 32.18) สาขาที่ศึกษาส่วนใหญ่ คือ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ (ร้อยละ 63.22) รองลงมาคือ สาขาพยาบาลศาสตร์ (ร้อยละ 15.39) จังหวัดที่ได้รับการศึกษามากที่สุดคือจังหวัดชลบุรี (ร้อยละ 34.48) รองลงมาคือ จังหวัดสมุทรปราการ (ร้อยละ 19.54) และจังหวัดระยอง (ร้อยละ 17.24) ผู้วิจัยหลักส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 68.97) ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยประเภทวิทยานิพนธ์ ระดับปริญญาโท (ร้อยละ 96.55) วัตถุประสงค์เพื่อบรรยาย/ ศึกษาหรืออธิอบาย มากที่สุด (่ร้อยละ 70.59) เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ (ร้อยละ 75.86) และงานวิจัยเชิงคุณภาพ (ร้อยละ 24.14)
กรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้เป็นส่วนใหญ่ คือ ทฤษฎีการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ (Pender's Health promotion) (ร้อยละ 33.33) ส่วนใหญ่ไม่ระบุวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง (ร้อยละ 24.14) และรองลงมาใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (ร้อยละ 22.99) ไม่มีการระบุสมมติฐาน (ร้อยละ 72.41) เครื่องมือส่วนใหญ่ใช้แบบสอบถาม (ร้อยละ 70.59) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา (ร้อยละ 43.18) รองลงมา คือ การวิเคราะห์เนื้อหา (ร้อยละ 19.69) ค่าตัวแปรตาม ส่วนใหญ่ศึกษาเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 35.79) การศึกษาเชิงเปรียบเทียบ พบว่า ส่วนใหญ่ ค่าตัวแปรตาม คือ คุณภาพชีวิต (ร้อยละ 28.57) การศึกษาสหสัมพันธ์ พบว่า ส่วนใหญ่ ค่าตัวแปรตาม คือ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 17.65) รองลงมา คือ พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ และโครงการ/กิจกรรมบริการ ผู้สูงอายุ (ร้อยละ 11.76) ชนิดของความเชื่อมมั่นของเครื่องมือวัดตัวแปรตาม ส่วนใหญ่ ใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (ร้อยละ 52.94) หาค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (ร้อยละ 82.35) ค่าตัวแปรต้นส่วนใหญ่ เป็นคุณลักษณะของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 72.38) การศึกษาเชิงเปรียบเทียบส่วนใหญ่ ค่าตัวแปรต้น คือ โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ/ โครงการส่งเสริมสุขภาพ (ร้อยละ 42.86) การศึกษาสหสัมพันธ์ ส่วนใหญ่ค่าตัวแปรต้น คือคุณลักษณะของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 36.00) จำนวนตัวแปรตามเฉลี่ย เท่ากับ 1.09 ตัว มีเอกภพ เท่ากับ 94.83 จำนวนตัวแปรสูงสุด 4 ตัวต่ำสุด 1 ตัว จำนวนตัวแปรต้นเฉลี่ย เท่ากับ 1.51 ตัว มีเอกภพ เท่ากับ 131.37 จำนวนตัวแปรต้นสูงสุด 5 ตัว ต่ำสุด 1 ตัว จำนวนสมมติฐานเฉลี่ย เท่ากับ 2.76 ตัว มีเอกภพ เท่ากับ 240.12 จำนวนสมมติฐานสูงสุด5 ตัว ต่ำสุด 1 ตัว ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง เฉลี่ย เท่ากับ 215.08 คน มีเอกภพ เท่ากับ 18,711.96 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างสูงสุด 629 คน ต่ำสุด 5 คน จำนวนเครื่องมือเฉลี่ย เท่ากับ 1.17 เครื่องมือมีเอกภพ เท่ากับ 101.79 เครื่องมือ จำนวนเครื่องมือสูงสุด 6 เครื่องมือ ต่ำสุด 1 เครื่องมือ จำนวนวิธีการวิเคราะห์เฉลี่ย เท่ากับ 5.56 วิธี มีเอกภพ เท่ากับ 483.72 วิธี จำนวนวิธีการวิเคราะห์สูงสุด 8 วิธี ต่ำสุด 0 วิธี
2. ผลการประเมินคุณภาพการวิจัยผู้สูงอายุในภาคตะวันออกตามหลักฐานเชิงประจักษ์ส่วนใหญ่ มีคุณภาพการวิจัยในระดับ 3 หรือ ระกับ C (ร้อยละ 67.82) ซึ่งได้แก่ งานวิจัยที่เป็นการศึกษาเชิงเปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์หรือเป็นการศึกษาเชิงพรรณนา
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ที่มีค่าเฉลี่ยขนาดอิทธิพลมากที่สุด คือด้านความสัมพันธ์ทางสังคม (r=1.185) รองลงมาคือ ด้านร่างกาย (r=1.224) ด้านจิตใจ (r=0.987) ด้านความเป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพาใคร (r = 0.749) ด้านความเชื่อส่วนบุคคล (r=0.854) และด้านสิ่งแวดล้อม (r=0.653) ตามลำดับ
4. การทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยขนาดอิทธิพลของปัจจยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก มีขนาดอิทธิพลไม่แตกต่างกัน
5.ประเด็นสำคัญและสาเหตุของการศึกษาวิจัย ข้อค้นพบจากผลงานวิจัยเชิงคุณภาพมีดังนี้ 1) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ 2) การพัฒนามาตรฐาน
การบริหารงานสวัสดิการและการสังเคราะห์ผู้สูงอายุ 3) การประเมินผลและการติดตามโรคงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 4) การศึกษาบทบาทและปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูแลผู้สูงอายุในกลุ่มของผู้ดูแลผู้สูงอายุ 5) การดูแลตนเองของผู้สูงอายุเมื่อเป็นโรคเรื้อรัง