Abstract:
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจและลดความไม่พึงพอใจ
ในการปฏิบัติงาน เปรียบเทียบระดับของแรงจูงใจกับความพึงพอใจตามปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล
ศึกษาแรงจูงใจและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร วิเคราะห์
ข้อมูลด้วย SPSS สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ F-test รวมถึง
หาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจและความพึงพอใจ โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 72 มีอายุระหว่าง
20-30 ปี มากที่สุดร้อยละ 41 ระดับการศึกษาต่ำกว่า ม. 6 มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 58 มีสถานภาพ
สมรสมากที่สุดร้อยละ 51 ส่วนมากมีอายุงานน้อยกว่า 1 ปี ร้อยละ 53 เป็นพนักงานชั่วคราวมาก
ที่สุดร้อยละ 89 ระดับแรงจูงใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ระดับความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ใน
ระดับปานกลาง พนักงานที่มีเพศต่างกัน สถานภาพสมรสต่างกัน อายุงานต่างกัน สถานะประเภท
พนักงานต่างกัน มีระดับแรงจูงใจและความพึงพอใจไม่แตกต่างกัน ระดับแรงจูงใจกับความพึง
พอใจมีความสัมพันธ์สอดคล้องไปในทางเดียวกันเชิงบวกในระดับปานกลาง
จากผลการศึกษาพบว่า ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีระดับปานกลางต่ำกว่าทุกด้าน
สาเหตุจากลักษณะธุรกิจเป็นงานรับเหมาก่อสร้าง พนักงานจึงมีความรู้สึกที่ไม่มั่นคง สอดคล้องกับ
ทฤษฎีสองปัจจัยของเฮอร์ซเบิร์ก ที่กล่าวว่า ความมั่นคงก้าวหน้ในหน้ที่การงาน จะเป็นสิ่งจูงใจ
ให้บุคลากรในองค์กรอยากทำงาน อีกทั้งยังพบว่าพนักงานที่มีเงินเดือนมากกว่า แต่มีระดับความพึง
พอใจด้านนี้ต่ำกว่าพนักงานที่มีรายได้น้อยกว่า ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีของมาสโลว์ที่ว่า คนทุกคนมี
ความต้องการซึ่งความต้องการนั้นมีอยู่มากมายหลายอย่าง
งานวิจัยนี้ยังพบว่าแรงจูงใจและความพึงพอใจมีความสัมพันธ์กันเชิงบวก หมายถึง เมื่อความพึงพอใจเพิ่มขึ้นก็มีโอกาสช่วยลดความไม่พึงพอใจและจะไปเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน ได้ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีสองปัจจัยของเฮอร์ซเบิร์ก ที่กล่าวว่า ปัจจัยที่ช่วยลดความไม่พึงพอใจในการทำงาน เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นที่พนักงานจะต้องได้รับการสนองตอบ แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าให้ปัจจัยเหล่านี้แล้วจะทำให้พนักงานเกิดความพึงพอใจในการทำงาน แต่ก็มีโอกาสที่จะไปเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน