Abstract:
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้หลักเศรษฐศาสตร์การเคลื่อนไหวในการปรับปรุงวิธีการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงท่าทางการทำงานของพนักงานบรรจุม้วนสายไฟที่ยินดีเข้าร่วม จำนวน 10 คน เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานในการวัดและเปรียบเทียบผลก่อนและหลังปรับปรุงวิธีการทำงาน โดยการศึกษาขั้นตอนการทำงานด้วยแผนภูมิกระบวนการไหล (Flow Process Chart) และการประเมินความเสี่ยงท่าทางการทำงานด้วยแบบประเมิน Rapid Entire Body Assessment (REBA) ผลการศึกษา พบว่า ขั้นตอนการทำ งานมีท่าทางการเคลื่อนไหวที่มีไม่เหมาะสม คือ การบิด/หัก/งอข้อมือการเอื้อม การยกแขน และไหล่การออกแรงในการยก/เคลื่อนย้ายการก้ม/บิด/เอี้ยวลำตัว การก้ม/บิด/เอียงคอการงอเข่าการยืนแบบลงน้ำหนักที่ขาข้างเดียวและการยืนทำงานต่อเนื่องในระยะเวลานาน โดยมีจำนวนสัญลักษณ์ท่าทางการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสมหลังการปรับปรุงลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value < .05 คือ ข้อมือบิดงอข้อมือหักงอ มือและแขนเอื้อม (p-value = .008, .005, .025) คอบิดเอียง ลำตัวบิดเอี้ยว (p-value = .008, .014) ลำตัวก้ม เข่างอการยืน แบบลงน้ำ หนักที่ขาข้างเดียว (p-value = .002) และพนักงานยืนรอม้วนสายไฟ (p-value = .025) ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนความเสี่ยงด้วยแบบประเมิน REBA พบว่าคะแนนความเสี่ยงหลังการปรับปรุงวิธีการทำงานมีค่าเท่ากับ 7 คะแนนซึ่งน้อยกว่าก่อนการปรับปรุงวิธีการทำงานที่มีคะแนนเท่ากับ 13 คะแนน ทำให้ท่าทางการทำงานมีระดับความเสี่ยงลดลงจากความเสี่ยงสูงมากเป็นความเสี่ยงปานกลาง ดังนั้น การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐศาสตร์การเคลื่อนไหวในการปรับปรุงวิธีการทำงานสามารถลดความเสี่ยงของท่าทางการทำงานอาจ ส่งผลกระทบต่อความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกของคนงานในอนาคตได้