DSpace Repository

ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาต่อการแก้ปัญหาทางสังคมและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล

Show simple item record

dc.contributor.author ดวงใจ วัฒนสินธุ์
dc.contributor.author ภรภัทร เฮงอุดมทรัพย์
dc.contributor.author สิริพิมพ์ ชูปาน
dc.contributor.author ศิริวัลห์ วัฒนสินธุ์
dc.contributor.author รัศมิ์สุนันท์ จันทรภักดี
dc.date.accessioned 2023-08-07T09:09:39Z
dc.date.available 2023-08-07T09:09:39Z
dc.date.issued 2560
dc.identifier.uri https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/9288
dc.description โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 th_TH
dc.description.abstract นักศึกษาพยาบาลเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าเนื่องจากต้องเผชิญกับการปรับตัวที่หลากหลายทั้งด้านพัฒนาการตามวัย การเรียน และการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัย หากนักศึกษาพยาบาลมีทักษะการแก้ปัญหาทางสังคมที่มีประสิทธิภาพก็จะสามารถจัดการกับปัญหาที่เข้ามาได้อย่างดี ทำให้มีภาวะสุขภาพจิตที่ดีและไม่มีภาวะซึมเศร้า โครงการวิจัยนี้แบ่งออกเป็นสองระยะ ระยะที่หนึ่งเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาภาวะซึมเศร้าและการแก้ปัญหาทางสังคมของนักศึกษาพยาบาลที่ศึกษาอยู่ในคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเขตภาคตะวันออก ในปีการศึกษา 2560 จำนวน 650 คน ส่วนระยะที่สองเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดก่อน การทดลอง หลังการทดลอง และติดตามผล 1 เดือน เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาต่อการแก้ปัญหาและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล จำนวน 60 คน ที่มีภาวะซึมเศร้าระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่ายเข้ากลุ่มกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินภาวะซึมเศร้า และแบบประเมินการแก้ปัญหาทางสังคม ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ .89 และ .83 และโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหา ดำเนินการทดลองระหว่างเดือนมกราคมถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ และการเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีบอนเฟอโรนี ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการวิจัยในระยะที่หนึ่งพบว่า นักศึกษาพยาบาลมีภาวะซึมเศร้าคิดเป็นร้อยละ 32 โดยมีภาวะซึมเศร้าในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางร้อยละ 18 และระดับรุนแรงร้อยละ 14 2. ผลการวิจัยในระยะที่สองพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการแก้ปัญหาทางสังคมในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=106.20, SD.= 14.03 ;X ̅=106.77, SD.= 13.27) สูงกว่ากลุ่มควบคุม ( ̅X=101.07, SD.= 9.34 ;X ̅=101.30, SD.= 9.48) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=13.30, SD.=4.63; ̅X=8.70, SD.=4.42) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม ( ̅X=18.67, SD.=2.50 ;X ̅=18.00, SD.=3.43) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการแก้ปัญหาทางสังคมในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที (X ̅=106.20, SD.=14.03) และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=106.77, SD.=13.27) สูงกว่าระยะก่อนการทดลอง (X ̅=99.60, SD.=13.14) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5. กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที (X ̅=13.30, SD.=4.63) และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=8.70, SD.=4.42) ต่ำกว่าระยะก่อนการทดลอง (X ̅=19.03, SD.=2.04) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ภาวะซึมเศร้าในนักศึกษาพยาบาลถือเป็นประเด็นปัญหาทางด้านสุขภาพจิตสำคัญที่คณาจารย์หรือบุคลากรทางสุขภาพควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ควรมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิต เพื่อการประเมิน ช่วยเหลือ และติดตามภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด ตลอดจนนำโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาไปประยุกต์ในการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางสังคมและลดภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล หรือนักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มอื่นต่อไป th_TH
dc.description.sponsorship สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ th_TH
dc.language.iso th th_TH
dc.publisher คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา th_TH
dc.subject ความซึมเศร้า th_TH
dc.subject นักศึกษาพยาบาล - - วิจัย th_TH
dc.subject ความซึมเศร้า - - การพยาบาล th_TH
dc.title ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาต่อการแก้ปัญหาทางสังคมและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล th_TH
dc.type Research th_TH
dc.author.email duangjai@buu.ac.th th_TH
dc.author.email pornpath@buu.ac.th th_TH
dc.author.email siripim@buu.ac.th th_TH
dc.author.email siriwanvat@gmail.com th_TH
dc.author.email russunan@gmail.com th_TH
dc.year 2560 th_TH
dc.description.abstractalternative Nursing students are at risk for depression since they have to adapt themselves in various aspects such as developmental change, learning, and teaching styles, and university environment. If these students have effective social problem solving skills, they will have capacity to solve their problems leading to good mental health and no depression. This research project was divided into two phrases: First phrase is a descriptive research aimed as exploring depression and social problem-solving among 650 nursing students studying at the Nursing Faculty of one particular university in the Eastern part of Thailand in academic year 2017. The second phrase is the quasi-experimental research with pre-post and follow-up design focusing on testing the effects of problem-solving skill enhancement program on social problem-solving and depression among 60 nursing students with mild and moderate levels of depression. They were randomly assigned into either the experimental group (n = 30) and the control group (n = 30). The research instruments included the general information record form, the Center for Epidemiologic Studies Depression Scale, and the Social Problem Solving Inventory for Adolescents with Cronbach’s alpha of .89, and .83, and the Problem-solving skill enhancement program. The data collection were conducted from January to May, 2018. Descriptive statistics, independent t-test, two-way repeated measures ANOVA and pairwise comparison using Bonferroni method were employed for data analyses. The results revealed as follow: 1. In the first phase, the results showed that 32% of nursing students had depression in which 18 %t had mild and moderate depression and 14 percent had severe depression. 2. In the second phase, the results showed that the experimental group had the mean scores of social problem-solving at post-test and 1-month follow-up ( ̅=106.20, SD.= 14.03 ; ̅=106.77, SD.= 13.27) significantly higher than the control group ( ̅=101.07, SD.= 9.34 ; ̅=101.30, SD.= 9.48), p < .05. 3. The experimental group had the mean scores of depression at post-test and 1-month follow-up ( ̅=13.30, SD.=4.63; ̅=8.70, SD.=4.42) significantly higher than the control group ( ̅=18.67, SD.=2.50 ; ̅=18.00, SD.=3.43), p < .05. 4. In the experimental group, the mean scores of social problem-solving at post-test ( ̅=106.20, SD.=14.03) and 1 month follow-up ( ̅=106.77, SD.=13.27) were significantly higher than at the pre-test ( ̅=99.60, SD.=13.14), p < .01. 5. In the experimental group, the mean scores of depression at post-test ( ̅=13.30, SD.=4.63) and 1 month follow-up ( ̅=8.70, SD.=4.42) were significantly lower than the mean score at pre-test ( ̅=19.03, SD.=2.04), p < .05. The research findings indicate that depression among the nursing students is a major mental health issue that the faculty members or related health care providers should be concerned and develop the mental health services focusing on closely assessing, providing care, and monitoring depression among these students. They should also apply this program to enhance social problem-soling skills and decrease depression among the group of nursing students or other university students. th_TH


Files in this item

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record

Search DSpace


Advanced Search

Browse

My Account