Abstract:
รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาทางออกทางเพศและพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของนิสิตระดับปริญญาตรี กลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก ประเทศไทย ประชากร คือ นิสิตระดับปริญญาตรี กลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ชั้นปีที่ 3 จำนวนทั่งสิ้น 575 คน ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกของประเทศไทย ในปีการศึกษา 2553 วิธีการวิจัย เก็บข้อมูลประชากรด้วยแบบสอบถาม รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย จำนวนประชากรที่รวบรวมได้มีจำนวน 486 คน คิดเป็นร้อยละ 84.5 โดยเป็นเพศชาย 114 คน (24%) เพศหญิง 372 คน (76%) อายุเฉลี่ยเท่ากับ 20.7 ปี (19-23 ปี) ส่วนใหญ่เป็นนิสิตจากคณะพยาบาลและคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธสถานภาพครอบครัวส่วนมากมีบิดามารดาอยู่ด้วยกันเกือบกึ่งหนึ่งขณะเรียนพักอาศัยอยู่ในหอพักนอกมหาวิทยาลัยและประมาณร้อยละ 40 อยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ไม่ทำงานนอกเวลาเรียน ส่วนใหญ่มีรสนิยมรักต่างเพศ (80%) รักสองเพศ (11%) รักร่วมเพศ (9%) สองในสามเคยสนทนาทางอินเทอร์เน็ต เคยฟังบรรยายเรื่องเพศและอ่านปัญหาเรื่องเพศ เกือบทั้งหมดไม่เคยถามปัญหาทางเพศ ส่วนผู้ให้คำปรึกษาปัญหาทางเพศส่วนใหญ่คือ เพื่อนสนิท นิสิตกว่าครึ่งมีคู่รักแล้ว สถานที่นัดพบกันบ่อยที่สุดคือ ที่บ้านหรือห้างสรรพสินค้า จำนวน 3 ใน 4 ยังให้ความสำคัญในเรื่องพรหมจรรย์ ทางออกทางเพศของนิสิตชายพบว่า เกือบทั้งหมดเคยหลั่งน้ำอสุจิแล้วที่อายุ 15 ปี น้อยที่สุดคือ 10 ปี มากที่สุดคือ 20 ปี การหลั่งอสุจิครั้งแรกประมาณกึ่งหนึ่งมาจากการฝันเปียก รองลงมาคือ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เมื่อมีความต้องการทางเพศนิสิตเกือบ 1 ใน3 ใช้มือในการสำเร็จความใคร่ รองลงมาใช้การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหรือใช้การดูสื่อลามกอนาจาร ทางออกทางเพศกับบุคคลอื่น พบว่าประมาณกึ่งหนึ่งใช้การร่วมเพศทางช่องคลอด (54%) รองลงมาเป็นการร่วมเพศทางปากกับเพศตรงข้าม (20%) รองลงมาให้เพศเดียวดันช่วยกันสำเร็จความใคร่โดยใช้มือ (10%) ให้เพศเดียวกันร่วมเพศทางปาก (7%) ร่วมเพศทางทวารหนักของเพศตรงข้ามหรือบุคคลเพศเดียวกัน (3%) ทางออกของนิสิตเพศหญิงพบว่า ส่วนใหญ่ยังไม่เคยถึงจุดสุดยอดทางเพศ (70%) โดยส่วนใหญ่เคยถึงจุดสุดยอดเมื่ออายุ 20 ปี เหตุการณ์ที่ทำให้ถึงจุดสุดยอดครั้งแรกสามลำดับแรกคือ การร่วมเพศกับเพื่อนหรือคนรัก การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง และการมีเพศสำคัญทางเพศกับบุคคลเพศเดียวกัน เมื่อมีความต้องการทางเพศ เกือบร้อยละ 60 ใช้การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ทางเลือกอื่นได้แก่ การดูสื่อลามก (12%) การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (12%) การจินตนาการทางเพศ (10%) ทางออกทางเพศกับบุคคลอื่น ได้แก่ การร่วมเพศทางช่องคลอด (55%) การใช้ปากร่วมเพศกับเพศตรงข้าม (15%) การให้เพศเดียวกันใช้ปากและลิ้นในการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ (13%) การให้เพศเดียวกันช่วยกันสำเร็จความใคร่ (8%) การร่วมเพศทางทวารหนักกับเพศตรงข้าม (1%) ความรู้สึกของนิสิตด้านเพศและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีค่าคะแนนเฉลี่ยในระดับปานกลาง พฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกครั้งป้องกันบางครั้งและไม่ป้องกันเท่ากับร้อยละ 43,45 12 ตามลำดับ วิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ การใช้ถุงยางอนามัย (73%) รองลงมาคือการหลั่งอสุจิภายนอก (20%) และการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด (7%) สถานบริการที่นิสิตเลือกใช้บริการสี่อันดับแรกคือ โรงพยาบาลของรัฐ (36%) คลินิก (26%) โรงพยาบาลเอกชน (15%) ร้านขายยา (13%)
สรุปผลการวิจัย รสนิยมทางเพศของนิสิตมีสัดส่วนไม่ต่างจากผลการศึกษาในอดีตที่ผ่านมามากนัก ส่วนทางออกทางเพศของนิสิตชายส่วนใหญ่ไม่ต่างจากการศึกษาในอดีตที่ผ่านมามากนักเช่นกัน แต่ทางออกทางเพศในนิสิตหญิงส่วนใหญ่จะเลือกทางออกทางเพศโดยวิธีเบี่ยงเบนความสนใจโดยใช้กิจกรรมอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย และพฤติกรรมทางเพศกับบุคคลอื่นของนิสิตหญิงมีสัดส่วนของการร่วมเพศทางทวารหนักค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับงานวิจัยในต่างประเทศ อาจเนื่องมาจากทัศนคติในเรื่องเพศภายใต้สังคมไทยยังมองว่าเป็นเรื่องวิตถารอยู่ก็เป็นได้ ส่วนความรู้สึกทางเพศและเพศสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลาง และยังมีพฤติกรรมไม่ป้องกันตนเองและป้องกันบางครั้งอยู่เป็นจำนวนเกินครึ่ง นอกจากนี้ยังพบว่ามีนิสิตจำนวนหนึ่งยังใช้วิธีการป้องกันตนเองโดยการหลี่งอสุจิภายนอกซึ่งยังเป็นวิธีการที่ไม่มีประสิทธิภาพ