Abstract:
การศึกษาแบ่งออกเป็น 3 การทดลอง การทดลองแรก ผลของการเพิ่มแคลเซียมและฟอสฟอรัสในน้ำต่อการเจริญเติบโตของหอยหวานระยะวัยรุ่น พบว่าการเจริญเติบโตด้านน้ำหนักของทุกชุดการทดลองไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P > 0.05) ในการเจริญเติบโตด้านความยาวพบว่าหอยหวานที่เลี้ยงด้วยระบบหมุนเวียนน้ำแบบปิด และมีการเติมแคลเซียมให้การเจริญเติบโตด้านความยาวมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.05) เมื่อสิ้นสุดการทดลองอัตราการรอดของหอยหวานทุกชุดทดลองไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P > 0.05)
การทดลองที่สองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมในน้ำต่อการเจริญเติบโตของหอยหวานระยะวัยรุ่น (Babylonia areolata Link, 1807) จากการทดลองพบว่าอัตราการดูดซึมแคลเซียมของหอยหวานระยะวัยรุ่นมีค่าเท่ากับ 0.42 mg/Ca/g/day และมีแนวโน้มว่าการเลี้ยงหอยหวานในระบบปิดที่เติมแคลเซียม จะทำให้การเจริญเติบโตด้านน้ำหนัก ความยาวเปลือก และความกว้างเปลือกรวมถึงดัชนีน้ำหนักเปลือกหอยต่อเนื้อของหอยหวาน การสะสมแคลเซียมในเปลือกและเนื้อของหอยหวาน สูงกว่าการเลี้ยงในระบบปิดที่ไม่เติมแคลเซียม
การทดลองที่สามมีวัตุประสงค์เพื่อศึกษาระดับแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสที่เหมาะสมในการเลี้ยงหอยหวาน (Babylonia areolata) โดยทำอาหารสำเร็จรูปจำนวน 9 สูตร ซึ่งมีระดับโปรตีนคงที่ 30 เปอร์เซ็นต์ และมีระดับของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสแตกต่างกัน ดังนี้ 0:0, 0:1.5, 0:3, 1.5:0, 1.5:1.5, 1.5:3, 3:0, 3:1.5 และ 3:3 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ โดยทดลองเลี้ยงในหอยหวานอายุ 4 เดือน ความหนาแน่น 85.71 ตัว/ตารางเมตร ให้อาหารสำเร็จรูป 2 เวลา คือ 09:30 น. และ 15:00 น. ระยะเวลาในการทดลอง 16 สัปดาห์ ในระหว่างการทดลองมีการตรวจวัดอัตราการเจริญเติบโตด้านน้ำหนัก และความยาวรวมถึงอัตราการรอดทุก 15 วัน ผลการทดลองพบว่าอาหารสำเร็จรูปที่มีระดับแคลเซียม 0, 1.5 และ 3 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้มีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.05) และอัตราการรอดไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P > 0.05) ส่วนอาหารสำเร็จรูปที่มีระดับฟอสฟอรัส 0, 1.5 และ 3 เปอร์เซ็นต์ พบว่าทั้งอัตราการเจริญเติบโตและอัตราการรอดไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P > 0.05)