DSpace Repository

ความสัมพันธ์ระหว่างการมีภูมิต้านทานวัณโรคกับการเกิดโรคปอดฝุ่นทรายในกลุ่มคนงานโรงโม่หิน ประเทศไทย

Show simple item record

dc.contributor.author ปวีณา มีประดิษฐ์
dc.contributor.other มหาวิทยาลัยบูรพา. คณะสาธารณสุขศาสตร์
dc.date.accessioned 2019-03-25T08:53:00Z
dc.date.available 2019-03-25T08:53:00Z
dc.date.issued 2546
dc.identifier.uri http://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/660
dc.description.abstract บทสรุปสำหรับผู้บริหาร ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา โรคปอดฝุ่นทราย (silicosis) เป็นโรคที่เกิดจากการหายใจเอาฝุ่นซิลิก้า (Silica) ซึ่งอยู่ในรูปของซิลิกอนไดออกไซด์ (Si02) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่พบได้ทั่วไปในหินชนิดต่างๆ ดังนั้นงานอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์จากหิน คนงานจึงมีความเสี่ยงต่อโรคปอดฝุ่นทรายรวมทั้งภาวะแทรกซ้อน ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่มีข้อมูลชัดเจนและพบได้บ่อยที่สุดคือวัณโรค หรือเรียกว่าวัณโรคปอดร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย (silicotuberculosis) ในประเทศไทย ได้มีรายงานการเกิดโรคปอดฝุ่นทรายเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2497 โดยนายแพทย์นินนาท ชินะโชติ และมีการพบผู้สงสัยเป็นโรคปอดฝุ่นทรายในสถานประกอบการกลุ่มเสี่ยงอยู่เสมอๆ ในปี พ.ศ. 2538 กองอาชีวอนามัย ร่วมกับศูนย์อนามัยสิ่งแวดล้อมเขต 2 และศูนย์วัณโรคเขต 2 จังหวัดสระบุรี พบร้อยละ 93.9 มีปริมาณฝุ่นทุกขนาด (Total dust) และ/หรือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนที่จะสามารถเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนบนได้ (Respirable dust) สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งพบผู้สงสัยเป็นโรคปอดฝุ่นทรายและวัณโรคปอดจำนวนร้อยละ 9.0 และร้อยละ 1.9 ตามลำดับ ซึ่งอัตรความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายมีความสัมพันธ์กับอายุ และจากรายงานประจำปีของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2538 – 2544 มีอัตรอุบัติการณ์ของผู้ป่วยด้วยโรคปอดฝุ่นทรายอยู่ระหว่าง 7.1 – 20.7 รายต่อประชากรกลุมเสี่ยง 1000 คน และในปี พ.ศ. 2544 ยังมีการรายงาน พบวัณโรคปอด (pulmonary tuberculosis) 3.7 ราย และวัณโรคปอดร่วมกัน โรคปอดฝุ่นทราย (silicotuberculosis) 0.44 รายต่อประชากรกลุ่มเสี่ยง 1000 คน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคปอดฝุ่นทราย ยังไม่มีแนวทางการรักษาที่เป็นเฉพาะ และวินิจฉัยจากภาพถ่ายทรวงอกรวมทั้งกลไกการเกิดโรคมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับวัณโรค กล่าวคือเมื่อร่างกายได้รับฝุ่นทรายหรือเชื้อวัณโรคซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมเข้าไป กลไกของร่างกายจะมีการทำลายสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวในลักษณะที่คล้ายกัน ต่างกันที่เมื่อสิ้นสุดกระบวนการแล้วซิลิก้า (Silica) จะถูกสะสมจนกลายเป็นโรคพังผืด แต่เชื้อวัณโรคจะถูกทำลายหรือกดไว้จนไม่แสดงอาการ ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณและการมีภูมิต้านทานของร่างกาย จากลักษณะดังกล่าวทำให้มีความผิดพลาดในการติดตามโรค และการรักษาได้ ดังนั้นในงานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีความสนใจในการศึกษาสถานการณ์ของการเกิดโรคปอดฝุ่นทรายวัณโรคปอด และวัณโรคปอดร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายในประเทศไทย ความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดของโรค รวมถึงการตั้งสมมติฐานในกรณีที่ผู้สัมผัสฝุ่นซิลิก้าที่มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลชีพเล็กๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดวัณโรคปอด แต่อาจสร้างภูมิต้านทานวัณโรคปอดให้แก่ร่างกายได้ ซึ่งภูมิต้านทานดังกล่าวอาจมีผลกับการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย หรือแท้แต่วัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย จึงได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมีภูมิต้านทานวัณโรคกับการเกิดโรคทั้งสอง เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา การเฝ้าระวัง และป้องกันโรคขั้นปฐมภูมิต่อไป วัตถุประสงค์ 1. ศึกษาอัตราการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย ในกล่มคนทำงานโรงโม่หิน 2. ศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย 3. เปรียบเทียบความแตกต่างของการเกิดวัณโรค ระหว่างกลุ่มคนที่เป็นและไม่เป็นโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย 4. เปรียบเทียบความแตกต่างของระยะเวลาที่เกิดโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายภายหลังการสัมผัสปัจจัยเสี่ยง (person exposure year) รวมถึงระยะเวลาในการสัมผัสฝุ่นซิลิก้าระหว่างกลุ่มคนที่มีและไม่มีปฏิกิริยาต่อการทดสอบการมีภูมิต้านทานวัณโรค วิธีการศึกษา การศึกษาเป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (cross – sectional study) โดยทำการศึกษาในกลุ่มคนทำงานเกี่ยวกับการสกัด บด ย่อยหิน ในรูปแบบการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย กับกลุ่มควบคุม ในด้านความแตกต่างของการมีปฏิกิริยาต่อการทดสอบการมีภูมิต้านทานวัณโรค, ชนิดของเชื้อวัณโรคที่พบ, ความเข้มข้นของฝุ่น และจำนวนปีที่สัมผัสฝุ่น รวมทั้งศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อเกิดโรคทั้งสองด้วย ซึ่งการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. การศึกษาในเชิงพรรณนา โดยทำการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ถึง 2544 เกี่ยวกับอัตราอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทราย เพื่อทราบสถานการณ์โรคของประเทศไทย และศึกษาโดยละเอียดสำหรับข้อมูลในปี พ.ศ. 2544 เกี่ยวกับผู้ป่วยความเข้มข้นของฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (respirsble dust) และเปอร์เซ็นต์ซฺลิก้า (% free silica; % Si02) จากทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งอุบัติการณ์ของวัณโรคปอด และวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตรอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทรายและวัณโรคร่วมกับโรคปอด กับความเข้มข้นของฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (respirsble dust) และเปอร์เซ็นต์ซิลิก้า (% free silica; % Si02) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราความชุกของโรคกับปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องได้แก่ ลักษณะส่วนบุคคล, ประวัติการสูบบุหรี่ และประวัติการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ ในจังหวัดสุพรรณบุรี จากคนงานที่สุ่มตัวอย่างมาจากโรงโม่หิน 12 โรงงาน จำนวน 164 คน โดยแบบสัมภาษณ์และเก็บตัวอย่างเสมหะ โดยทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีย้อมสี (acid fast staining) เพื่อการศึกษาอัตราความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายและผู้ที่คาดว่าจะเป็นวัณโรคปอด (suspected pulmonary tuberculosis) 2. การศึกษาความสัมพันธ์ โดยการเก็บตัวอย่างเสมหะ 3 วัน จากคนงานโรงงานโม่หินจากทุกภาคของประเทศไทยจำนวน 123 คน ตัวอย่างเป็นผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยจากกระทรวงสาธารณสุข ว่าเป็นโรคปอดฝุ่นทราย (case) จำนวน 76 คน และเป็นคนงานที่ทำงานในปริมาณใกล้เคียงและมีอายุ รวมทั้งอายุงานใกล้เคียง (±5ปี) กับผู้ที่ได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดฝุ่นทราย (control) จำนวน 47 คน และทำการวิเคราะห์ตัวอย่างเสมหะด้วยวิธี การย้อมสี (acid fast staining) วิธีอณูชีววิทยา (polymerase chain reaction technique) และการเพาะเชื้อวัณโรค (culture technique methods) 3. การศึกษาภาวะการมีภูมิต้านทานเชื้อวัณโรค โดยการทดสอบด้วยชุดตรวจสอบทุเบอร์คุลิน (tuberculin; monotest) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างการมีภูมิต้านทานวัณโรคกับกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม จากรนั้นศึกษาความแตกต่างของระยะเวลาที่เกิดโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายภายหลังการสัมผัสปัจจัยเสี่ยง (person exposure year) รวมถึงระยะเวลาในการสัมผัสฝุ่นซิลิก้าระหว่างกลุ่มคนที่มีและไม่มีปฎิกิริยาต่อการทดสอบการมีภูมิต้านทานวัณโรค กลุ่มผู้ป่วยโรคปอดฝุ่นทรายมีจำนวนทั้งหมด 71 คน ที่ไม่พบการติดเชื้อในกลุ่ม mycobacterium. และกลุ่มผู้ป่วยวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายพบจำนวนทั้งสิ้น 5 คน ที่พบการติดเชื้อในกลุ่ม mycobacterium. จากการวิเคราะห์ตัวอย่างเสมหะด้วยวิธีการทั้ง 3 วิธีดังกล่าวข้างต้น ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์โดยปรแกรม spss 10.1 for window และ epi info 6.04b สถิติที่ใช้ทดสอบความสัมพันธ์ได้แก่ chi-square for trend และทดสอบความแตกต่าง/ความเหมือน โดย chi-square สถิติที่ใช้ในการทดสอบค่าเฉลี่ยคือ t-test ภายหลังจากการทดสอบการกระจายปกติของข้อมูล ผลที่ได้ 1. การศึกษาในเชิงพรรณนา พบว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ถึง 2544 อัตราอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทรายยังคงอยู่ในระดับสูง ที่ 7.1 ถึง 20.7 คน ต่อประชากรกลุ่มเสี่ยง 1000 คน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ของการเพิ่มขึ้นระหว่างปีที่เพิ่มขึ้นกับอัตราอุบัติการณ์ของโรค (x2 = 0.831; p>0.005) อีกทั้งในปี พ.ศ. 2544 ข้อมูลของความเข้มข้นของฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (respirsble dust) และเปอร์เซ็นต์ซิลิก้า (% free silica; % Si02) จากทุกภาคของประเทศไทย พบว่าค่าความเข้มข้นเฉลี่ยของฝุ่นที่สูงสุดคือภาคใต้ 9.35±10.08 มก./ลบ.ม. และต่ำสุดคือภาคเหนือ 0.61±0.31 มก./ลบ.ม. ในขณะที่ เปอร์เซ็นต์ซิลิก้าสูงสุดคือภาคตะวันออก 11.07±8.31 เปอร์เซ็นต์ และต่ำสุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) 0.02±0.02 เปอร์เซ็นต์ และภาคใต้ยังมีเปอร์เซ็นต์ของตัวอย่างฝุ่นเกินค่ามาตรฐานมากที่สุด คือ 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนภาคเหนือ ไม่พบตัวอย่างที่เกินค่ามาตรฐาน (ค่ามาตรฐานของฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน คำนวณจากสูตร 10/(%Si02 + 2)) และในปีเดียวกันพบอัตรการอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทรายมากที่สุดในภาคใต้ 56.3 ราย ต่อประชากรกลุ่มเสี่ยง 1000 คน และพบน้อยที่สุดในภาคเหนือ 7 รายต่อ 1000 คน และพบอัตราอุบัติการณ์ของวัณโรคปอดมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) 15.1 รายต่อประชากร 1000 คน น้อยที่สุดในภาคตะวันออก 3.6 รายต่อประชากรกลุ่มเสี่ยง 1000 คน และยังพบว่าวัณโรคปอดร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย 2 ราย ในภาคกลางและภาคตะวันออก และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทรายและวัณโรคปอด กับความเข้มข้นของฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (respirsble dust) และเปอร์เซ็นต์ซิลิก้า (% free silica; % Si02) พบว่าความเข้มข้นของฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนที่มากขึ้นมีความสัมพันธ์กับอัตราการอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทรายและวัณโรค (x2 = 26.352; p<0.05) ในขณะที่เปอร์เซ็นต์ซิลิก้ามีความสัมพันธ์กับอัตราการอุบัติการณ์ของการเกิดวัณโรคปอดอย่างมีนัยสำคัญ (x2 = 9.571; p<0.05) ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราความชุกของโรคกับปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยการสำรวจจากจำนวนคนงานทั้งหมด 164 คน จากโรงงานโม่หิน 12 โรง โดยใช้แบบสัมภาษณ์และการเก็บตัวอย่างเสมหะและวิเคราะห์ด้วยวิธี การย้อมสี (acid fast staining) ผลการศึกษาพบว่า อัตราความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายเท่ากับร้อยละ 10.1 และผู้ป่วยที่อาจจะเป็ยวัณโรคร้อยละ 2.3 โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอายุมากกว่า 41 ปี และมีระยะเวลาการทำงานมากกว่า 11 ปี ทั้งสองโรค และพบว่าอัตราความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายมีความสัมพันธ์กับอายุ และระยะเวลาในการทำงาน อย่างมีนัยสำคัญ (x2 = 16.782 และ 4.20; p<0.05) ยังพบอีกว่าผู้ที่ตรวจพบโรคปอดฝุ่นทรายมีประวัติการสูบบุหรี่นานมากกว่า 15 ปี และยังพบว่าการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องมีความสัมพันธ์กับอัตราความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายอย่างมีนัยสำคัญ (x2 = 12.039; p<0.05) ในขณะที่ปริมาณที่สูบหรือประวัติว่าเคยสูบบุหรี่ไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราความชุกของโรคทั้งสอง ในขณะที่การศึกษาเกี่ยวกับการใช้อุปกรรณ์ป้องกันระบบหายใจ พบว่าผู้ที่ตรวจพบโรคปอดฝุ่นทรายส่วนใหญ่ไม่เคยใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจกับความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายอย่างมีนัยสำคัญ (x2 = 16.566; p<0.05) 2. การศึกษาความสัมพันธ์กับวัณโรคปอด โดยการเก็บตัวอย่างเสมหะ 3 วัน จากกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม และทำการวิเคราะห์ตัวอย่างเสมหะด้วยวิธี การย้อมสี (acid fast staining) วิธีอณูชีววิทยา (polymerase chain reaction technique) และการเพาะเชื้อวัณโรค (culture technique methods) ซึ่งผลการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการจากวิธีการวิเคราะห์ พบว่าการวิเคราะห์ด้วยวิธีย้อมสี (acid fast staining) พบว่ามีเชื้อในกลุ่ม mycobacterium avium, mycobacterium cocci และ mycobacterium gordonae ในขณะที่กลุ่มควบคุมพบ 2 คน ได้แก่เชื้อ mycobacterium simae และ mycobacterium chelonae. 3. การศึกษาภาวะการมีภูมิต้านทานเชื้อวัณโรค คนงานทั้งหมด 123 คน ที่ได้รับการตรวจวิเคราะห์เสมหะ จะได้รับการสัมภาษณ์โดยแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวและการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และทดสอบความเหมือนระหว่างกลุ่มผู้ป่วยกับกลุ่มคงบคุมด้วย chi-square test ซึ่งพบว่าไม่มีความแตกต่างในด้านข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวและการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม สำหรับในด้านปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องประวัติการสูบบุหรี่ การเจ็บป่วยด้วยโรคหรือการได้รับบาดเจ็บในบริเวณท้อง/ทรวงอกด้านบน และการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ (PPE) พบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มตัวอย่าง (p>0.05) ในขณะที่ข้อมูลยังพบว่าทั้งกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุมยังมีการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ถึงร้อยละ 47.37 และ 40.43 อีกทั้งยังไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจอย่างต่อเนื่อง หรือไม่เคยใช้เลย มากถึง ร้อยละ 50 ในกลุ่มผู้ป่วยและร้อยละ 67.96 ในกลุ่มควบคุม ในด้านความเหมือนของหน้าที่ในการทำงานระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน (p>0.05) แต่พบว่ากลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะทำงานในส่วนงานผลิตถึงร้อยละ 50 และยังพบได้ในกลุ่มงานอื่นๆ ได้แก่งานขับรถบรรทุกร้อยละ 19.74 งานซ่อมบำรุงร้อยละ 14.47 หรือแม้แต่งานในสำนักงานก็ยังพบผู้ป่วยถึงร้อยละ 15.79 ในการสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่อาจมีผลต่อการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย ในเรื่องของที่พักอาศัย, การใช้เตาถ่าน, การใช้ยาฆ่าแมลง และอายุของบ้านที่พัก และยังพบว่าทั้งกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม ร้อยละ 78.75 และ 63.38 ตามลำดับ พักอาศัยอยู่ในที่พักซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับโรงโม่หิน อีกทั้งพบว่ากลุ่มผู้ป่วยร้อยละ 42.12 และกลุ่มควบคุมร้อยละ 34.04 ยังคงใช้งานเตาถ่านอย่างต่อเนื่อง และทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่ยังมีประวัติการใช้ยาฆ่าแมลงอย่างสม่ำเสมอ ร้อยละ 59.21 สำหรับกลุ่มผู้ป่วย และร้อยละ 53.19 ในกลุ่มควบคุม รวมทั้งพบว่ากลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนที่อายุมากกว่า 10 ปี ร้อยละ 44.74 และกลุ่มควบคุมร้อยละ 48.94 เกี่ยวกับประวัติการเป็นภูมิแพ้ของกลุ่มตัวอย่าง และการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวได้แก่ พ่อ, แม่, ปู่, ย่า, ตา, ยาย, พี่, น้อง และลูก ซึ่งไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม (p>0.05) ยังพบว่ากลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม มีประวัติการได้วัคซีน BCG มาก่อนและไม่เคยได้รับการตรวจทดสอบด้วยทุเบอร์คุลินที่บริเวณผิวหนังมาก่อนภายในระยะเวลา 1 ปี ไม่มีความแตกต่างของผลการวิเคราะห์เสมหะทางห้องปฎิบัติการด้วยวิธี การย้อมสี (acid fast staining) วิธีอณูชีววิทยา (polymerase chain reaction ; PCR) และการเพาะเชื้อ (culture technique) ระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม (p>0.05) สำหรับการศึกษาด้านภาวะการมีภูมิต้านทานวัณโรค ในกลุ่มทั้งสอง พบว่า มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม (p<0.05) และค่า old ratio เท่ากับ 0.04 ในขณะที่ภาวะการมีภูมิต้านทานวัณโรคไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุมที่มีการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการพบการติดเชื้อ M.tuberculosis และ non- M.tuberculosis การศึกษาความแตกต่างของค่าเฉลี่ย person exposure year และระยะเวลาของการสัมผัสเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีการตรวจพบการติดเชื้อ M.tuberculosis หรือ non- M.tuberculosis จำนวน 71 คน โดยในเบื้องต้นได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลการกระจายของข้อมูลโดย rank-sum test พบว่ามีการกระจายแบบปกติ (r-s = 0.0688; p>0.05) และทำการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย person exposure year ของผู้ป่วยโรคปอดฝุ่นทราย ซึ่งได้จากการคำนวณโดย การคูณกันระหว่างจำนวนปีที่สัมผัสกับความเข้มข้นสูงสุดของฝุ่นที่ได้รับ มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่พบปฏิกิริยากับไม่พบปฏิกิริยาจากการทดสอบภาวะการต้านทานวัณโรคอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปฏิกิริยาของภูมิต้านทานวัณโรคมีระยะเวลานานกว่ากลุ่มที่ไม่มีปฏิกิริยา และค่าเฉลี่ยของระยะเวลาการทำงานที่อาจได้สัมผัสฝุ่นซิลิก้าหรือฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน มีความแตกต่างกลุ่มที่พบปฏิกิริยากับไม่พบปฏิกิริยาจากการทดสอบภาวะการต้านทานวัณโรคอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปฏิกิริยาของภูมิต้านทานวัณโรค มีระยะเวลาในการทำงานสัมผัสฝุ่นนานกว่ากลุ่มที่ไม่มีปฏิกิริยา ในการศึกษาค่าเฉลี่ยของ person exposure year และระยะเวลาการสัมผัส ของผู้ป่วยด้วยวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย ในกลุ่มที่มีการตรวจพบการติดเชื้อ M.tuberculosis หรือ non- M.tuberculosis จำนวน 5 คน (p<0.05) โดยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปฏิกิริยาของภูมิต้านทานวัณโรค มีระยะเวลาในการทำงานสัมผัสฝุ่นนานกว่ากลุ่มที่ไม่มีปฏิกิริยา การวิจารณ์ผลที่ได้ จากการศึกษา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการมีภูมิต้านทานวัณโรคกับการเกิดโรคปอดฝุ่นทรายนั้น ผลการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน และในแต่ละส่วนมีความสำคัญดังนี้ 1.) การศึกาย้อนหลัง 7 ปีพบว่าอัตราการอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทรายยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 7.1 ถึง 20.7 คน ต่อประชากรกลุ่มเสี่ยง 1000 คน รวมทั้งค่าความเข้มข้นของฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (respirsble dust) ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือภาคใต้ และเกินค่ามาตรฐานมากที่สุด คือ ร้อยละ 50 ในขณะที่เปอร์เซ็นต์ซฺลิก้า (% free silica; % Si02) สูงสุดคือภาคตะวันออก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอัตราอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทรายที่พบมากที่สุดในภาคใต้ ในขณะที่อัตราอุบัติการณ์ของวัณโรคปอด พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และความสัมพันธ์ของอัตราอุบัติการณ์ของโรคทั้งสอง กับความเข้มข้นของฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ในขณะที่เปอร์เซ็นต์ซิลิก้ามีความสัมพันธ์กับอัตราอุบัติการณ์ของวันโรคปอด การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราความชุกของโรคกับปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง พบว่าความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายมีความสัมพันธ์กับอายุ และระยะเวลาในการทำงานและสำหรับปัจจัยในด้านการสูบบุหรี่พบว่าผู้ที่ตรวจพบโรคปอดฝุ่นทรายมีประวัติการสูบบุหรี่นานมากกว่า 15 ปี และยังพบว่าการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องมีความสัมพันธ์กับอัตราความชุกของโรคปอดฝุ่นทราย และในด้านการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจกับอุบัติการณ์ของโรคปอดฝุ่นทราย ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ในปี พ.ศ. 2538 ที่พบว่าอัตราความชุกของโรคปอดฝุ่นทรายมีความสัมพันธ์กับอายุ ทั้งยังพบอีกว่ากลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ทำงาน พักอาศัย และสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีผลกับการพัฒนาความรุนแรงของโรคปอดฝุ่นทราย ได้แก่ ร้อยละ 47.37 และ 40.43 ของทั้งกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุมยังมีการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง และไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจอย่างต่อเนื่อง หรือไม่เคยใช้เลย มากถึง ร้อยละ 50 ในกลุ่มผู้ป่วย และ 67.96 ในกลุ่มควบคุม กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงทำงานอยู่ในส่วนผลิตถึงร้อยละ 50 และทั้งกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุมส่วนใหญ่ร้อยละ 78.875 และ 63.83 ตามลำดับ ยังพักอาศัยอยู่ในที่พักซึ่งอยู่ในบริเวณใก้เคียงกับโรงโม่หิน อีกทั้งยังพบว่ามีกลุ่มผู้ป่วยถึงร้อยละ 42.12 และกลุ่มควบคุมร้อยละ 34.04 ยังใช้งานเตาถ่านอย่างต่อเนื่อง และทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่ยังมีประวัติการใช้ยาฆ่าแมลงอย่างสม่ำเสมอ ร้อยละ 59.21 สำหรับกลุ่มผู้ป่วย และร้อยละ 53.19 ในกลุ่มควบคุม รวมทั้งยังพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในบ้านเรือนที่อายุมากกว่า 10 ปีร้อยละ 44.74 และในกลุ่มควบคุมร้อยละ 48.94 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว อาจจะส่งให้อัตราการเกิดของโรคในประเทศไทยไม่สามารถลดลงได้ 2.) การศึกษาความสัมพันธ์กับวัณโรคปอด จากการวิเคราะห์ตัวอย่างเสมหะ พบว่าผลการวิเคราะห์แสดงการติดเชื้อจุลชีว M.tuberculosis และ non- M.tuberculosis ซึ่งได้แก่เชื้อ กลุ่ม M. avium, M. cocci และ M. gordonae ในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดฝุ่นทรายร้อยละ 6.58 ในขณะที่กลุ่มควบคุมร้อยละ 4.26 พบเชื้อ M. simae และ M. chelonae 3.) การศึกษาภาวะการมีภูมิต้านทานเชื้อวัณโรค พบว่าสำหรับการศึกษาด้านภาวะการมีภูมิต้านทานวัณโรค ในกลุ่มทั้งสอง พบว่า มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มควบคุมจะมีภาวะภูมิต้านทานวัณโรคมากกว่ากลุ่มผู้ป่วย และเมื่อทำการศึกษาในระหว่างกลุ่มผู้ป่วยเองพบว่าในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดฝุ่นทราย มีความแตกต่างของค่าเฉลี่ย person exposure year และระยะเวลาในการสัมผัส ในขณะที่กลุ่มผู้ป่วยวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายพบว่ามีความแตกต่างเฉพาะค่าเฉลี่ยของ person exposure year ซึ่งอาจเกิดจากกลุ่มตัวอย่างที่น้อยเกินไป หรืออาจจะกล่าวได้ว่าความเข้มข้นของฝุ่นมีอิทธิพลต่อการพัฒนาวัณโรคร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายด้วย จากผลการศึกษาอาจสรุปในเบื้องต้นได้ว่า การมีภูมิต้านทานวัณโรคมีความสัมพันธ์กับการลดระยะเวลาในการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และ/หรือภาวะแทรกซ้อนจากวัณโรคในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว ซ฿งอย่างไรก็ตาม การศึกษาภาวะภูมิต้านทานด้วยวิธีการทดสอบที่มีความแม่นยำ และความจำเพาะเจาะจง ยังมีความจำเป็นมากในอนาคต เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าการมีภูมิต้านทานวัณโรค จะมีประโยน์กับผู้ป่วยโรคปอดฝุ่นทราย หากแต่ต้องทำการศึกษาต่อไปอีกว่าวิธีการใด และ/หรือปริมาณ ที่จะเหมาะสมกับการให้ภูมิต้านทานแก่กลุ่มผู้ป่วยโรคปอดฝุ่นทรายต่อไป ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ตามบทบาทหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคมที่มีบทบาท ในการบริหารทางสังคมในระยะยาวอีกระบบหนึ่งที่โดยมีรัฐเป็นผู้ดำเนินการ ด้วยการให้ประชาชนผู้มีรายได้แต่ละคนได้มีส่วนช่วยตนเองหรือครอบครัว โดยร่วมกันเสี่ยงภัยหรือช่วยเหลือบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนซึ่งกันและกันระหว่างผู้มีรายได้ในสังคม ด้วยการออกเงินสมทบเข้ากองทุน โดยนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งกองทุนนี้จะจ่ายประโยชน์ทดแทนให้แก่ผู้ส่งเงินสมทบเมื่อเกิดความเดือดร้อน เช่น เจ็บป่วย คลอดบุตร ว่างงาน ชราภาพ เป็นต้น ดังนั้นการประกันสังคมจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ยึดหลักการพึ่งพาตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ของประชาชนโดยมีความมุ่งหมายที่จะเป็นหลักประกันและคุ้มครองความเป็นอยู่ของประชาชน ให้มีความมั่นคงในการดำรงชีวิตแม้มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องขาดแคลนรายได้ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข จากผลของการวิจัยกับบทบาทของสำนักงานประกันสังคม ผู้วิจัยมีความประสงค์ผลการวิจัยนี้ สามาถนำไปพัฒนาต่อจนถึงขั้นที่จะมีประโยชน์ต่อการป้องกันและควบคุมโรคปอดฝุ่นทรายให้กับผู้ปฏิบัติงาน อันได้แก่ 1. เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบในการติดตาม และสอบสวนโรคปอดฝุ่นทรายจากการทำงาน ซึ่งพบว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคปอดฝุ่นทรายนอกจากปริมาณฝุ่นที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับแล้วนั้นยังมีภาวะแทรกซ้อนมากมายที่จะเสริมทำให้อัตราความรุนแรงของโรคมากขึ้น อาทิ เช่น อายุ อายุการทำงาน ปริมาณที่ได้รับสัมผัส รวมเปอร์เซ็นต์ซิลิก้าที่ได้รับการสัมผัส การสูบบุหรี่ การไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล รวมทั้งการได้รับสัมผัสฝุ่นนอกงาน 2. ในด้านการดำเนินการควบคุมโรคปอดฝุ่นทรายและภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดกับผู้ปฏิบัติงาน จากผลการวิจัย จะพบว่าการควบคุมอัตราการเกิดโรคจะต้องคำนึงถึงมาตรการในการควบคุมปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์เลิกสูบบุหรี่ การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ การจัดหาที่พักอาศัยให้ห่างไกลจากแหล่งอันตราย การควบคุมการสัมผัสฝุ่นนอกงานหรือ แม้แต่การควบคุมฝุ่นที่แหล่งกำเนิด เพื่อไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นในบรรยากาศการทำงานและสิ่งแวดล้อม 3. ในด้านการป้องกันโรค จากผลการวิจัยการมีภาวะภูมิต้านทานวัณโรคนั้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคปอด ซึ่งในอนาคตหากมีการศึกษาให้มีความลึกซึ้งมากขึ้น จะทำให้สามารถป้องกันโรคปอดฝุ่นทรายรวมทั้งภาวะแทรกซ้อนเช่นวัณโรคปอดได้ ซึ่งประโยชน์ดังกล่าวข้างต้น สำนักงานประกันสังคมจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วย การจ่ายเงินทดแทนจากการเจ็บป่วย การประกันอุบัติเหตุและโรคอันเกิดจากการทำงานและการประกันการเสียชีวิต กระทรวงสาธารณสุข 1.) วิธีการเฝ้าระวังวัณโรคปอดร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายในปัจจุบัน ที่มีการดำเนินการอยู่อาจต้องมีการปรับปรุง เพราะจากข้อมูลที่ทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง และผลการวิจัยในครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าภาวะการแทรกซ้อนจากวัณโรค ในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดฝุ่นทรายจะมทีอัตราอุบัติการณ์ในระดับสูง การเฝ้าระวังในปัจจุบัน คือการเก็บตัวอย่างเสมหะ และวิเคราะห์ด้วยวิธีย้อมสีในเบื้องต้น และหากพบมีความผิดปกติ ก็จะทำการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อวัณโรค แต่ผลการวิจัยนี้พบว่าการวิเคราะห์ด้วยวิธีดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับการวิเคราะห์ด้วยวิธีเพาะเชื้อ หรือทางอณูวิทยาซึ่งมีความจำเพาะเจาะจงใกล้เคียงกัน เพราะผู้ที่ตรวจพบการติดเชื้อยังมีชีวิต ในบางรายไม่แสดงผลบวกในการวิเคราะห์ด้วยวิธีการย้อมสี ในขณะที่การเพาะเชื้อจะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าวิธีอณูวิทยา แต่อาจใช้ระยะเวลาในการวิเคราะห์นานกว่า ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ยารักษาอาจจะมีประโยชน์ต่อการช่วยลดความรุนแรงของการพัฒนาโรค แต่ก็จะทำให้เกิดการดื้อยาได้ง่าย อีกทั้งการประสานในการเข้าพบผู้ป่วย เพื่อเก็บตัวอย่างเสมหะมาวิเคราะห์นั้น มักจจะประสบปัญหาในการติดตาม และควบคุมวิธีการเก็บตัวอย่าง ฉะนั้นวิธีการเลือกวิธีวิเคราะห์ที่เหมาะสม ก็มีความจพเป็นที่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการเฝ้าระวังโรคที่จะเกิดแทรกขึ้นได้ 2.) จากผลความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ อายุ, อายุงาน, การสูบบุหรี่, การไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ, การพักอาศัยใกล้โรงงาน, การสัมผัสฝุ่นบนท้องถนน, การใช้เตาถ่านและยาฆ่าแมลง กับการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และภาวะแทรกซ้อน มีประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วย และผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และภาวะแทรกซ้อน ในการดำเนินการเฝ้าระวัง และควบคุมให้ถูกต้อง 3.) ความสัมพันธ์ระหว่างการมีภูมิต้านทานวัณโรคกับเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคปอดร่วมกับโรคปอดฝุ่นทราย ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยง ควรตระหนักถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว และควรมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการใช้วิธีการทดสอบภาวะภูมิต้านทานที่มีความแม่นยำ และมีความจำเพาะเจาะจงมากขึ้น เพราะการทดสอบด้วยทุเบอร์คุลินเป็นการทดสอบแบบคัดกรอง (screening test) ซึ่งจากความสัมพันธ์ที่ถูกพบจากการวิจัยครั้งนี้น่าจะเป็นข้อมูลสนับสนุนให้เกิดการวิจัยต่อไปได้ รวมทั้งการศึกษาเกี่ยวกับปริมาณ และ/หรือวิธีการให้ภูมิต้านทานที่เหมาะสม มีความเป็นไปได้และน่าจะได้รับการสนับสนุนให้มีการศึกษาต่อไปอีกด้วย เพื่อที่จะได้ข้อสรุปมากำหนดเป็นมาตรฐานให้ภูมิต้านทาน แก่ผู้ที่มีความเสียงที่เป็นการป้องกันการเกิดโรคปอดฝุ่นทราย และวัณโรคปอดร่วมกับโรคปอดฝุ่นทรายต่อไปในอนาคต หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการจัดการเกี่ยวกับโรคปอดฝุ่นทรายจากโรงงานโม่หินในประเทศไทย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยกันมากมาย นอกจากกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขซึ่งสามารถนำผลการศึกษาไปพัฒนาการจัดการเกี่ยวกับโรคปอดดังได้กล่าวมาแล้ว ยังมีกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีบทบาทในการป้องกันและควบคุมอันตรายจากการทำงานในสถานประกอบ รวมทั้งโรคจากการทำงานโดยตรง ฉะนั้นผลจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้จะมีประโยชน์สูงสุด เมื่อนำไปปรับใช้ในการดำเนินมาตรการต่างๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ทั้งในด้านการป้องกัน รักษา และควบคุม เช่นในด้านของการป้องกัน ควรมีการพัฒนามาตรการในการควบคุมปริมาณของฝุ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิต เพราะจากการศึกษาพบว่าความเข้มข้นของฝุ่น มีความสัมพันธ์กับการอุบัติการณ์ของทั้งโรคปอดฝุ่นทรายและวัณโรคปอด ฉะนั้นหากหน่วยงานที่มีบทบาทในการควบคุมโรงงานตามกฎหมาย สามารถกำหนดข้อบังคับในการปฏิบัติ จะทำให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ปฏิบัติงานได้มากขึ้น รวมทั้งในด้านของมาตรการควบคุม เกี่ยวกับชีวอนามัยความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมให้แก่ผู้ปฏิบัติงานอีกด้วย ซึ่งผลจากการศึกษายังพบว่าผู้ป่วยเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในทุกส่วน ไม่เฉพาะในส่วนของการผลิตเท่านั้น ฉะนั้นจึงควรคำนึงถึงการควบคุมในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ่อมบำรุง, งานสำนักงาน หรือผู้ที่มีโอกาสสัมผัสอันตรายจากฝุ่น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในสถานที่ทำงาน เพราะโอกาสสัมผัสอาจเกิดจากการเดินทาง, สถานที่พัก และสถานที่ที่ใช้ในการรับประทานอาหาร เป็นต้น th_TH
dc.description.sponsorship รายงานการศึกษานี้ ได้รับเงินอุดหนุนการวิจัยจากคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม en
dc.language.iso th th_TH
dc.publisher คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา th_TH
dc.subject ภูมิคุ้มกัน th_TH
dc.subject วัณโรค th_TH
dc.subject โรงโม่หิน - - แง่อนามัย th_TH
dc.subject โรคปอดฝุ่นหิน th_TH
dc.subject สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ th_TH
dc.title ความสัมพันธ์ระหว่างการมีภูมิต้านทานวัณโรคกับการเกิดโรคปอดฝุ่นทรายในกลุ่มคนงานโรงโม่หิน ประเทศไทย th_TH
dc.title.alternative The relationship between tuberculosis immunity and silicosis incidence among stone-grinding workers in Thailand en
dc.type Research
dc.year 2546


Files in this item

Files Size Format View

There are no files associated with this item.

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record

Search DSpace


Advanced Search

Browse

My Account