Abstract:
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิถีชีวิตและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพของนักเรียนมัธยมศึกษาในเขตภาคตะวันออก เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง โดยดัดแปลงจากแบบประเมินแบบแผนการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพของ เพนเดอร์ (Pender, 1996) ทดสอบความเชื่อมั่นกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 คน แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นในระดับสูง ทุกชุด (α อยู่ระหว่าง .8607 - .9556) เก็บข้อมูลนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 1244 คน ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน
ผลการศึกษาพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพในระดับปานกลาง คิดร้อยละ 57.8 รองลงมามีวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพอยู่ในระดับดี ร้อยละ 42.0 และมีร้อยละ 0.2 มีวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพในระดับไม่ดี ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ สถานการณ์ที่แวดล้อม การรับรู้อุปสรรคของการมีวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพ อิทธิพลระหว่างบุคคลและ การรับรู้ประโยชน์ของวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพ (beta = 0.321, p <.001; beta = -0.217, p <.001; beta = 0.138, p <.001, beta = 0.133, p <.001 ตามลำดับ) และสามารถร่วมกันอธิบายวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพของนักเรียนมัธยมศึกษา ได้ร้อยละ 32.1 (R2 = .321, p <.001) โดยมีสมการทำนายดังนี้
วิถีส่งเสริมสุขภาพ = 2.063 + 0.332 อิทธิพลของสถานการณ์ที่แวดล้อม -0.19 การรับรู้ อุปสรรค + 0.107 อิทธิพลระหว่างบุคคล + 0.172 การรับรู้ประโยชน์
การวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าควรส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพให้มากขึ้น โดยการเพิ่มปัจจัยด้านอิทธิพลของสถานการณ์แวดล้อม ที่จะสนับสนุนให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจและสะดวกที่จะปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ ส่งเสริมให้บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับนักเรียน มีวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพที่เป็นตัวอย่างแก่นักเรียนให้มากขึ้น มีการรณรงค์เผลแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้การรับรู้ประโยชน์ของการมีวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพแก่นักเรียนมัธยมศึกษาให้มากขึ้น รวมถึงผู้ปกครอง ครู และผู้นำชุมชน ก็ควรกระตุ้นให้ความสำคัญเช่นกัน เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียนสามารถเกิดวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพได้อย่างสะดวก ง่าย และปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการลดอุปสรรคต่อการเกิดวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพของนักเรียนและทำให้เกิดวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพแบบยั่งยืนต่อไป