Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ 1) เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงและปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งทัศนคติของกลุ่มประชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางกะจะ และ 2) เพื่อศึกษาความเป็นอยู่โดยทั่วไปในภาพรวมของชาวบ้านบางกะจะ ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยได้รับมาจากการสอบถามกึ่งสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างประชากรที่เป็นชาวบางกะจะ 274 ครัวเรือนจากกลุ่มการสัมภาษณ์ทั้งหมด 294 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 93.20 ของการสุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ จำนวน (Frequency) ร้อยละ (Percentage) มัธยฐาน (Median) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ประชาชนภายในพื้นที่ความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลบางกะจะ ในฤดูแล้งประมาณร้อยละ 40 ขาดแคลนน้ำน้ำกินน้ำใช้ ชาวบ้านส้วนมากแก้ไขปัญหานี้โดยช่วยเหลือตัวเองมากที่สุด รองลงมาเป็นการร้องเรียนให้รัฐช่วยเหลือ และชาวบางกะจะประมาณร้อยละ 90 เห็นว่าที่อยู่อาศัยของเขาอยู่ในทำเลที่เหมาะสม ในทำนองเดียวกันประมาณร้อยละ 60 มีความพึงพอใจต่อสภาพความเป็นอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด
2. อัตราการเปลี่ยนแปลงของประชากรในรอบปีที่ผ่านมาในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางกะจะมีอัตราส่วนการเกิดร้อยละ 1.39 และอัตราการตายร้อยละ 0.31 ของประชากรทั้งหมด อัตราการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ใหม่ (9.62%) สูงกว่า อัตราการย้ายออก (5.26%) คิดเป็นร้อยละ 4.36 สำหรับความหนาแน่นโดยเฉลี่ยเท่ากับ 264 คนต่อหนึ่งตารางกิโลเมตร
3. ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางกะจะ มีประชากรที่อยู่ในวัยแรงงาน (15-64ปี) ร้อยละ 73 และชาวบางกะจะให้ความเห็นว่า พ่อแม่ที่ดีควรมีลักษณะสำคัญคือ เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี มีความรับผิดชอบรับฟังปัญหาของลูกเป็นเพื่อนคุยได้ทุกเรื่อง อารมณ์ดี ไม่ใช่อารมณ์และกำลังตัดสินปัญหา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ไม่เปรียบเทียบลูกกับคนอื่น รักลูกเล่าๆ กัน และให้อิสระแก่ลูกในการตัดสินใจ
4. ปัญหาของครอบครัวที่สำคัญ ได้แก่ ขาดแคลนในเรื่องการเงิน ไม่มีเวลาพักผ่อน ความไม่เข้าใจกันระหว่างญาติพี่น้อง สิ่งแวดล้องของที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสม ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ว ลูกถูกทอดทิ้ง (พ่อแม่มีครอบครัวใหม่) ฯลฯ
5. ประชาชนส่วนใหญ่รู้จักที่ตั้งของหน่วยราชการหรือที่ทำการต่าง ๆ ภายในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางกะจะ และเข้าใจหน้าที่ของหัวหน้าหน่วยนั้นเป็นอย่างดี
6. ชาวบางกะจะออกไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งสมากชิกทั้งการเมือง ครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งสูงสุดประมาณร้อยละ 47 คือ เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รองลงมาเป็นการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล และ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามลำดับ
7. ชาวบ้านบางกะจะร้อยละ 95 ขึ้นไปอ่านออกเขียนได้ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วชาวบางกะจะศึกษาความรู้เพิ่มเติมจาก การอ่านหนังสือด้วยตนเอง เข้ารับการอบรมเฉพาะเรื่อง และสมัครเรียนอาชีพระยะสั้น ชาวบางกะจะส่วนใหญ่เห็นว่าการเรียนมีประโยชน์อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด และคิดว่าจะส่งบุตรให้ศึกษาต่อจนถึงระดับอุดมศึกษา สำหรับรายวิชาที่เคยเรียนมาแล้วและเป็นประโยชน?ต่อการประกอบอาชีพคือ วิชาเกษตรกรรมิ และ วิชาคณิตศาสตร์
8. อาชีพส่วนใหญ่ของชาวบางกะจะคือ ทำสวน / ทำไร่ รับจ้าง ข้าราชการ และธุรกิจ/ค้าขาย ตามลำดับ แค่ละครอบครัวมีรายได้รวมเฉลี่ยต่อปี 123,462 บาท ที่มาของรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายผลผลิตทางการเกษตร ส่วนรายจ่ายรวมเฉลี่ยต่อปี 112,292 บาท โดยจ่ายเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเล่าเรียนบุตร ค่ารักษาพยาบาล และเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ สำหรับปัญหาหรืออุปสรรคสำคัญในการทำสวนหรือทำไร่ได้แก่ ฝนไม่ตกต้องตามทุกฤดูกาล ส่วนปัญหาและอุปสรรคในการขายผลผลิตคือ ถูกกดราคาขายผลผลิต
9. ชาวบางกะจะส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และให้ความเห็นว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีในทำนองเดียวกันชาวบางกะจะส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนตายไปแล้วจะมีโอกาสเกิดใหม่และไม่เชื่อเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี
10. เวลาเจ็บป่วย ส่วนมากชาวบางกะจะร้อยละ 68 จะไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดรองลงมาประมาณร้อยละ 30 จะไปซื้อยามารับประทานเอง โดยยาที่ซื้อมารับประทานเองนั้นร้อยละ 46 ของผู้ที่ซื้อยามารับประทานเองจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และร้อยละ 33 ได้รับคำแนะนำจากคนขายที่ร้านขายยา
11. ชาวบางกะจะเกือบทุกครัวเรือน (ร้อยละ 70) มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่อไปนี้ วิทยุ โทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม ฯลฯ อย่างน้อย 1 เครื่อง สำหรับรายการวิทยุที่ฟังกันเป็นประจำได้แก่ ข่าว ละคร และ เพลง ส่วนรายการโทรทัศน์ที่นิยมดูกันเป็นประจำได้แก่ ข่าว บันเทิง และ สารคดี ตามลำดับ
12. ชาวบางกะจะประมาณร้อยละ 13 มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ภาษาในเรื่อง การใช้ภาษาไม่เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ ใช้ราชาศัพท์ไม่ถูกต้อง และมีการใช้คำฟุ่มเฟือย เป็นต้น
13. ความเป็นอยู่ในภาพรวมโดยทั่วไป พบว่า ด้านทำเลที่ตั้ง เศรษฐกิจของครอบครัว พื้นฐานของครอบครัว และการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของชาวบางกะจะอยู่ในระดับ ดี ถึง ดีมาก ยกเว้นเพียงด้านเดียว คือ ด้านความพึงพอใจต่อสภาพความเป็นอยู่ในหมูบ้านของตนเอง อยู่ในระดับต่ำหรือควรปรับปรุง
The purpose of the study was twofold: first, to study the fact, problems, and attitudes of civilian in the area of Tambon Bangaja Administrative Organization (BAO); second, to study a whole general way of life of civilian (GWL) in Bangaja society. All completed 274 family members (from 294 random members or 93.20 percent) with multi–stage sampling were participated in this study. Data were analyzed by computing frequency, percentage and median. Research results were as follows:
1. Civilian in the area of BAO, in dry season, 40% of civilian had serious problem in water consumption and agriculture. Most of them solved this problem by helping them-self, and requesting government officers for helping, respectively. In addition, 90% of civilian indicated that their area and home location were located in the appropriate area. It was also found that 60% of civilian were satisfaction in a whole general way of life from high to very high levels.
2. Population change rates in the past 1 year were as follows: birth rate 1.39%, dead rate as 0.31%, in-migration rate (9.62%) greater than out-migration rate (5.26%) as 4.36 percent. It also reveled that the average of civilian density was 264 persons per a square kilometer.
3. Seventy-three percent of BAO civilian was in labor age (15-64 year). Most of BAO civilian revealed that the best parents were as follows: a good family leader, responsibility person, listening problems from son/daughter like a good friend, good emotion, no making decision problem with bad emotion, no concerning with all bad things, no comparing son/daughter with other’s son/daughter, giving loveliness sons or daughter equally, and giving freedom to son or daughter for making decision.
4. The crucial family problems of the BAO civilian were as follows: lacking money, no resting time, conflicting between relatives, no appropriate environment for home location, abandoning elders, abandoning child (parent have a new family), etc.
5. Most of the BAO civilian knew the location of official governmental units and clearly understood the function of those official units.
6. As a result of past elections, the BAO civilian (47%) went to vote Puyaiban and senate representatives selections more than Tambom Administrative Organization, and Provincial Administrative Organization, respectively.
7. Ninety-five percent of BAO civilian was able to read or write books, After schooling, most of BAO civilian (95%) study increasingly from reading books by themselves, training some interesting program, and study occupational short-courses. Most of BAO civilian indicated that learning gave the highest advantage for all in high to very high levels. They also revealed that two subjects gave them an advantage to their occupation as agriculture, and mathematics.
8. Most of the BAO civilian’s occupations were agriculture, employees, government officers, and traders, respectively. Income average of each family was 123,562 baht a year, came from selling agricultural products. On the contrary, expenditure average was 112,292 baht a year, paid for running water, electric, education fee, health care, and other miscellanies. The crucial problems or obstacles concerning agriculture of the BAO civilian were as no usual rain in rainy season. In addition, problems or obstacles of selling agricultural products were as decreasing price for selling.
9. Most of the BAO civilian believed in Buddhism. They agreed that all religions taught everybody as a good person. Moreover, the civilian had on faith in reincarnation and spiritual bodies.
10. When getting sick, majority of BAO civilian (68%) went to see doctors at provincial hospital, 30% bought their medicine from drug store (by suggestion from a doctor, and drug seller).
11. Seventy percent of family in the BAO owned at least one set of following facilitators: radios, television, refrigerator, fan, etc. The popular radio programs were news, dramas, and songs. In same as popular television programs were news, entertainment, and features, respectively.
12. Thirteen percent of the BAO civilian had some problems on using Thai language un terms of using inappropriate words with timing and places, using the king word, and using prodigal word, etc
13. As whole general way of life of the BAO civilian, it found that all 4 categories (are and home locations, family economics, family background, and political participation) were at good to very good levels. Only one category (satisfaction toward a whole general way of life GWL) was at low level.