DSpace Repository

การศึกษาค่าความเสี่ยงและการประเมินการรับสัมผัสสารโทลูอีนและสารเอ็มอีเคของพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงานผลิตรองเท้ายางแห่งหนึ่งของเขตกรุงเทพมหานคร

Show simple item record

dc.contributor.author ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์
dc.contributor.other มหาวิทยาลัยบูรพา. คณะสาธารณสุขศาสตร์
dc.date.accessioned 2021-06-09T00:58:56Z
dc.date.available 2021-06-09T00:58:56Z
dc.date.issued 2563
dc.identifier.uri http://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4115
dc.description.abstract งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง โดยมีการประเมินการรับสัมผัสสารโทลูอีนและสารเอ็มอีเค และการประเมินค่าความเสี่ยงของพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงานผลิตรองเท้ายางแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยกลุ่มตัวอย่างพนักงานมี 170 คน อายุเฉลี่ย 33.32 ปี และมีสภาพการทำงานในแต่ละวันในหน้าที่หลักในการผลิตรองเท้ายาง 12 ชั่วโมงต่อวัน (รวมการทำงานล่วงเวลา) ร้อยละ 30.0 และทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ทุกคน มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจทุกครั้ง ร้อยละ 63.5 โดยส่วนใหญ่มีการใช้หน้ากากที่ทำมาจากระดาษกรอง ร้อยละ 96.9 ในการเก็บตัวอย่างอากาศใช้ Organic Vapor Monitor (3M 3500) ติดตัวบุคคลในระดับการหายใจของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ากลุ่มตัวอย่าง (n=100) มีค่าเฉลี่ย ± ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของสารโทลูอีน 19.78± 46.53 ppm และสาร เอ็มอีเค 22.17± 29.36 ppm และมีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะหลังสิ้นสุดการงาน พบว่ากลุ่มตัวอย่าง (n=170) มีค่าเฉลี่ย ± ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของสารโทลูอีนในปัสสาวะ 0.146 ± 0.200 mg/l และ สารเอ็มอีเคในปัสสาวะ 0.282 ± 0.397 mg/l และเมื่อประเมินค่าความเสี่ยง พบว่าสารโทลูอีนและ สารเอ็มอีเค อยู่ในระดับเสี่ยงต่อสุขภาพมากจากการรับสัมผัส คือ HQtoluene = 37.625 และ HQMEK = 14.155 และเมื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณระดับความเข้มข้นของสารเอ็มอีเคในบรรยากาศการทำงานแบบติดตัวบุคคล มีความสัมพันธ์กับปริมาณระดับความเข้มข้นของสารเอ็มอีเคในปัสสาวะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p = 0.01 จากผลการศึกษาครั้งนี้ทำให้ตระหนักได้ว่า กลุ่มตัวอย่างมีการสัมผัสสารโทลูอีนและสารเอ็มอีเคในขณะที่ปฏิบัติงานและควรให้ความสำคัญการส่งเสริมสุขภาพรวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจที่ถูกต้องและ เหมาะสมตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงาน th_TH
dc.language.iso th th_TH
dc.publisher คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา th_TH
dc.subject สารเอ็มอีเค th_TH
dc.subject การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ th_TH
dc.subject ความปลอดภัยในงานอุตสาหกรรม th_TH
dc.subject โทลูอีน th_TH
dc.subject สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ th_TH
dc.title การศึกษาค่าความเสี่ยงและการประเมินการรับสัมผัสสารโทลูอีนและสารเอ็มอีเคของพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงานผลิตรองเท้ายางแห่งหนึ่งของเขตกรุงเทพมหานคร th_TH
dc.title.alternative The study of hazard quotient and evaluation of toluene and methyl ethyl ketone exposure among the production workers in a rubber shoes manufacturing factory in Bangkok en
dc.type Article th_TH
dc.issue 1 th_TH
dc.volume 15 th_TH
dc.year 2563 th_TH
dc.description.abstractalternative This research was a cross sectional study. The objectives were to evaluate toluene and methyl ethyl ketone (MEK) exposure, hazard quotient among production workers in a rubber shoes manufacturing factory in Bangkok. There were 170 persons participated in the study. Mean age of the cases was 33.32 years old. Thirty percent of the cases worked 12 hours per day (including over time), 6 days per week (100.0%). About sixty three percent always used respiratory protection; however, most of them used only paper filter masks (96.9%). Collection of personal organic solvent exposure was conducted using “Organic Vapor Monitor (3M 3500)”, attached to the lapel of each worker (n=100). Results of the study group showed an average toluene concentration 19.78± 46.53 ppm and MEK 22.17± 29.36 ppm. Urine samples were collected at the end of work shift and results of urine samples (n=170) showed an average of toluene in urine of 0.146 ± 0.200 mg/l and MEK in urine of 0.282 ± 0.397 mg/l. Hazard quotient (HQ) showed that exposure to toluene and MEK exhibited high health risk levels (HQtoluene = 37.625 and HQ MEK = 14.155). However, the relationship between personal air MEK concentration and MEK in urine of the study group was significant at 0.01 (p<0.001). Based on the results of this study, toluene and MEK exposures among workers were detected. Health promotion should be emphasized and respiration protective equipment should also be provided. en
dc.journal วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา th_TH
dc.page 72-84. th_TH


Files in this item

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record

Search DSpace


Advanced Search

Browse

My Account