Abstract:
ปัจจุบันหญิงตั้งครรภ์อายุมากมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น การตั้งครรภ์อายุมากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ดังนั้นการให้บริการสุขภาพแก่หญิงตั้งครรภ์อายุมากจึงควรให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม ในการจัดบริการสุขภาพแบบองค์รวมจำเป็นต้องทราบถึงการรับรู้ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์ พฤติกรรมสุขภาพ และความต้องการบริการสุขภาพแบบองค์รวมของหญิงตั้งครรภ์อายุมาก การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) เพื่อศึกษาการรับรู้ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์ พฤติกรรมสุขภาพ และความต้องการบริการสุขภาพแบบองค์รวมของหญิงตั้งครรภ์อายุมาก และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์อายุมากที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่มารับบริการฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลศูนย์ ภาคตะวันออก จำนวน 3 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลระยอง และโรงพยาบาลพุทธโสธร จำนวน 190 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการรับรู้ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์อายุมาก และแบบสอบถามความต้องการบริการสุขภาพแบบองค์รวม โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90, .92, .94 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ One-way ANOVA, Independent t-test, Point biserial correlation coefficient, Spearman’s rho correlation coefficient, Pearson’s correlation coefficient และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. การรับรู้ภาวะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์อายุมาก
1.1 หญิงตั้งครรภ์อายุมากมีคะแนนการรับรู้ภาวะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์เฉลี่ย 296.13
ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ
1.2 หญิงตั้งครรภ์อายุมากที่มีระดับการศึกษา จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ และภาวะ
แทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ต่างกัน มีการรับรู้ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 13.35, df = 2, p < .001; t = 2.74, df = 188, p = .007 และ t = -4.64, df = 94.62, p < .001 ตามลำดับ)
1.3 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์อายุมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุครรภ์ (r = .168, p = .020) จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ (r = -.196, p = .007) และภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ (r = .343, p = .001)
2. พฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์อายุมาก
2.1 หญิงตั้งครรภ์อายุมากมีคะแนนพฤติกรรมสุขภาพเฉลี่ย 141.34 ซึ่งอยู่ในระดับดี
2.2 หญิงตั้งครรภ์อายุมากที่มีรายได้ครอบครัว และอายุครรภ์ต่างกัน มีพฤติกรรม
สุขภาพแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 4.36, df = 4, p = .002; F = 3.81, df = 2, p = .024 ตามลำดับ)
2.3 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์อายุมากอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระดับการศึกษา (r = .167, p = .022) รายได้ครอบครัว (r = .200, p = .006) และอายุครรภ์ (r = .151, p = .037)
3. ความต้องการบริการสุขภาพแบบองค์รวมของหญิงตั้งครรภ์อายุมาก
3.1 หญิงตั้งครรภ์อายุมากมีคะแนนความต้องการบริการสุขภาพแบบองค์รวมเฉลี่ย
67.54 ซึ่งอยู่ในระดับมาก ส่วนข้อมูลเชิงลึก หญิงตั้งครรภ์อายุมากต้องการให้คลินิกฝากครรภ์
ให้บริการด้วยความรวดเร็ว มีบุคลากรและที่นั่งอย่างเพียงพอ บริการด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แพทย์/พยาบาลให้คำแนะนาปรึกษา และเปิดโอกาสให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วม
3.2 หญิงตั้งครรภ์อายุมากที่มีปัจจัยส่วนบุคคล (ซึ่งได้แก่ ระดับการศึกษา รายได้ครอบครัว อายุครรภ์ จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ และภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์) ต่างกัน มีความต้องการบริการสุขภาพแบบองค์รวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (F = .30, df = 2, p = .742; F = 2.25, df = 4, p = .066; F = .53, df = 2, p = .588; t = -.49, df = 28.74, p = .625 และ t = -.97, df = 144.92, p = .335 ตามลำดับ)
3.3 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการการบริการสุขภาพแบบองค์รวมของหญิงตั้งครรภ์อายุมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ รายได้ครอบครัว (r = .176, p = .015) และพฤติกรรมสุขภาพ (r = .187, p = .010)
ผลการวิจัยครั้งนี้ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับการรับรู้ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์ พฤติกรรมสุขภาพ และความต้องการบริการสุขภาพแบบองค์รวมของหญิงตั้งครรภ์อายุมาก รวมทั้งปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนารูปแบบการบริการสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับหญิงตั้งครรภ์อายุมากต่อไป