Abstract:
งานวิจัยที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายที่มีความหนักระดับปานกลาง (ประมาณ 70% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ (MHR) ทำให้เกิดการพัฒนาสมรรถภาพทางกายได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันมีดรรชนีชีวัดหลายอย่างว่าการออกกำลังกายมีความหนักเพียงพอหรือไม่ จึงทำให้น่าศึกษาดรรชนีอื่น ๆ เพิ่มขึ้น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณน้ำอะไมเลส ค่าความเป็นกรด-ด่าง ในน้ำลายและกรดแลคติกในเลือดว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
ขณะออกกำลังกายที่ 70% MHR และสร้างสมการพยากรณ์ปริมาณ อะไมเลสในน้ำลายจากตัวแปรที่ศึกษาร่วม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชาย อายุระหว่าง 18-25 ปี ได้มาด้วยการอาสาสมัคร แล้วทำการสุ่มตัวอย่างย่างง่าย จำนวน 15 คน ทุกคนเป็นผู้มีสุขภาพดี เก็บข้อมูลโดยเก็บตัวอย่างน้ำลาย และเจาะเลือดบริเวณปลายนิ้ว หาค่าปริมาณกรดแลคติกจากกลุ่มตัวอย่างขณะพัก แล้วจึงให้กลุ่มตัวอย่างเดิน-วิ่ง บนทางวิ่งกลตามวิธีของวิลสัน จนกระทั่งมีอัตราการเต้นของหัวใจที่ 70% MHR
ณ จุดนั้นเก็บตัวอย่างน้ำลายและทำการเจาะเลือดเพื่อหาค่าของตัวแปรต่าง ๆ ที่ศึกษาเช่นเดียวกับช่วงขณะพัก ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า
ขณะออกกำลังกายที่ความหนัก 70% MHR ปริมาณน้ำ ในน้ำลายมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.871 กรัม/ มิลลิลิตร ปริมาณอะไมเลสในน้ำลายมีค่าเท่ากับ 311, 160 ยูนิต/ลิตร น้ำลายมีค่าเฉลี่ยความเป็กนรด-ด่าง เท่ากับ 6.86 และพบปริมาณกรดแลคติกในเลือด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.8 มิลลิโมล/ลิตร ซึ่งเป็นค่าที่สามารถบ่งชี้ถึงการออกกำลังกายที่ความหนัก 70% MHR ถูกสร้างขึ้นโดยพิจารณาจากปริมาณกรดแลคติกในเลือดและปริมารน้ำในน้ำลาย
สมการพยาการณ์ปริมารอะไมเลสขณะออกกำลังกายที่ความหนัก 70% MHR โดยสมการถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง คือปริมาณอะไมเลส ขณะออกกำลังกายที่ 70% MHR = 2093088.313-176625.083 x (ปริมาณกรดแลคติกในเลือดขณะออกกำลังกายที่ 70% MHR) -1478509.995 x (ปริมาณน้ำในน้ำลายขณะออกกำลังกายที่ 70% MHR) จากข้อมูลที่ปรากฏทำให้สามารถนำเสนอค่าปริมาณกรดแลคติกในเลือดและปริมาณน้ำในน้ำลายขณะออกกำลังกายที่ 70 % MHR นอกจากนี้ยังได้สมการพยากรณ์ค่าของอะไมเลสจากตัวแปรที่วัดได้ง่ายกว่า โดยค่าดังกล่าวไม่ค่อยปรากฏมากนักในเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง