dc.contributor.author |
สุนันทา โอศิริ |
|
dc.contributor.author |
สุภาภรณ์ ปิติพร |
th |
dc.contributor.author |
สมบูรณ์ วณิชโยบล |
th |
dc.contributor.author |
ผกากรอง ขวัญข้าว |
th |
dc.contributor.author |
ณัฐดนัย มุสิกวงศ์ |
th |
dc.contributor.author |
พินิต ชินสร้อย |
th |
dc.contributor.author |
ลักขณา สมประสงค์ |
th |
dc.contributor.other |
มหาวิทยาลัยบูรพา. คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร |
|
dc.date.accessioned |
2019-03-25T08:45:54Z |
|
dc.date.available |
2019-03-25T08:45:54Z |
|
dc.date.issued |
2554 |
|
dc.identifier.uri |
http://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/171 |
|
dc.description.abstract |
การศึกษาประสิทธิภาพผลของยาลูกกลิ้งพริกในการลดอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อเรื้อรัง โดยการวิจัยทางคลินิก แบบ Randomized single blind controlled trial ในผู้ที่มีอาการปวดข้อหรือปวดกล้ามเนื้อมานานมากกว่า 6 เดือน ที่เป็นผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โรงพยาบาลกุดชุม และโรงพยาบาลวังน้ำเย็น ผู้ป่วยจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธีการจับสลากให้ใช้ยาลูกกลิ้งพริก (0.025% capsaicin cream) เปรียบเทียบกับยาหลอก ทาบริเวณกล้ามเนื้อหรือข้อวันละ 4 ครั้งนาน 4 สัปดาห์ ทำการประเมินผล 5 ครั้ง โดยประเมินก่อนเริ่มศึกษา สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 1,2,3 และ 4 ตามลำดับ โดยเปรียบเทียบระดับความรู้สึกปวด โดยรวมใช้ Visual analog scale(VAS) 0-10 ระดับความรู้สึกโดยรวม (Patient’s global assessment) 5 ระดับ ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ยา 5 ระดับ และผลข้างเคียงจากการใช้ยา ผลการศึกษาในผู้ป่วย 132 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ยาลูกกลิ้งพริก 69 คน กลุ่มที่ใช้ยาหลอก 63 คน สัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิง อายุเฉลี่ย และดัชนีมวลกาย ทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน (p = 0.227, 0.523, 0.739 ตามลำดับ) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ Muscle pain 37 คน (68.52%) และ 43 คน (86%) ตามลำดับ ก่อนเข้ารับราชการและหลังจากใช้ยาไปแล้ว 4 สัปดาห์พบว่า ความถี่ในการปวด อาการปวดขณะนอน จำนวนครั้งของการปวด การออกกำลังกายเพื่อลดปวด ทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน (p = 0.512, 0.113, 0.223, 0.681) ก่อนเข้ารับการรักษาค่าเฉลี่ยความรุนแรงของอาการปวดทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน (5.54±2.19 และ 5.67±2.01) (p=0.63) แต่หลังเข้ารับการรักษาแล้ว ความรุนแรงของอาการปวดมีแนวโน้มลดลงในทั้งกลุ่มยาลูกกลิ้งพริกและยาหลอกโดยไม่แตกต่างกันภายใน 2 สัปดาห์แรก แต่เมื่อสัปดาห์ที่ 3 และ 4 พบว่ากลุ่มผู้ใช้ยาลูกกลิ้งมีค่าเฉลี่ยความรุนแรงของอาการปวดต่ำกว่ากลุ่มผู้ใช้ยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3.36±1.74 และ4.25±1.62)(2.94±1.16 และ 3.83±1.74) (p = 0.019, 0.024) ผลวิเคราะห์ความพึงพอใจพบว่าผู้ใช้ยาลูกกลิ้งพริกมีความพึงพอใจมากกว่ากลุ่มยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.039) พบอาการข้างเคียงที่มีอาการแสบร้อนในกลุ่มผู้ใช้ยาลูกกลิ้งพริก 15 ราย (15.6 %) มีอาการคันและผื่นแดงอย่างละ 1 ราย และพบอาการแสบร้อน 1 รายในกลุ่มหลอก อาจสรุปได้ว่ายาลูกกลิ้งพริกสามารถลดระดับความรุนแรงของอาการปวดได้ดีกว่ายาหลอก โดยต้องใช้ระยะเวลาการรักษาประมาณ 3-4 สัปดาห์ แต่ก็พบผลข้างเคียงมากกว่า จึงควรมีการปรับปรุงสูตรสำหรับยานี้เพื่อลดอาการปวดแสบร้อน |
th_TH |
dc.description.sponsorship |
งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจาก งบประมาณเงินรายได้ คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. 2554 |
en |
dc.language.iso |
th |
th_TH |
dc.publisher |
คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา |
th_TH |
dc.subject |
พริก - - การใช้รักษา |
th_TH |
dc.subject |
พริกขี้หนู |
th_TH |
dc.subject |
สมุนไพร - - การใช้รักษา - - วิจัย |
th_TH |
dc.subject |
สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช |
th_TH |
dc.title |
ประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ลูกกลิ้งพริกในการลดอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อเรื้อรัง |
th_TH |
dc.title.alternative |
Pain relief of chili roll-on in chronic musculoskeletal pain |
en |
dc.type |
Research |
th_TH |
dc.year |
2554 |
|