Abstract:
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนทัศน์ของผู้สูงอายุและครอบครัวในการเตรียมความพร้อมสู่การตายอย่างสงบของผู้สูงอายุที่มารับบริการ ในสถานพยาบาลภาคตะวันออก ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยวิธีวิจัยเชิงปริมาณจากการสำรวจต้องการการดูแลของผู้สูงอายุและครอบครัว การวิจัยเชิงคุณภาพโดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview ) ประชากร เป็นกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่มารับบริการในสถานพยาบาลในภาคตะวันออกใน 8 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี และนครนายก จำนวน 440,562 คน และญาติ จำนวน 1,762,248 สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจ์ซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 384 คน แบ่งตามสัดส่วนเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ จำนวน 77 คน ญาติและผู้ดูแลจำนวน 307 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยมนุษย์ และมีค่าความเชื่อมั่น 0.96 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า
1. ข้อมูลทั่วไปของผู้สูงอายุและครอบครัว
กลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 76.62 อายุเฉลี่ย 71.52 ปี ระดับการศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 57.14 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 89.61 แต่งงานและมีคู่ ร้อยละ 62.34 มีรายได้ของครอบครัวเฉลี่ย 25,333.33 บาทต่อเดือน ประกอบอาชีพข้าราชการบำนาญ ร้อยละ 46.75 และมีโรคประจำตัว ร้อยละ 76.62
กลุ่มครอบครัวของผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 87.30 อายุเฉลี่ย 45.50 ปี ความสัมพันธ์กับผู้สูงอายุเป็นบุตร/ธิดา ร้อยละ 56.03 ระดับการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ร้อยละ 43.65 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 93.81 สถานภาพโสด ร้อยละ 43.00 มีรายได้เฉลี่ย 23,583.33 บาท ต่อเดือน ประกอบอาชีพข้าราชการ ร้อยละ 25.08 รองลงมาคือพนักงานรัฐ/เอกชน ร้อยละ 17.92
2. ความต้องการการดูแลเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การตายอย่างสงบที่โรงพยาบาล กลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัว ในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก ( = 3.61 , SD = 0.72 , = 3.79, SD = 0.46)
3. ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การตายอย่างสบาย ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 คือ ระดับการศึกษา (r = 0.65 , p = 0.002) และ ระดับ 0.05 คือ เพศ (r = 0.49, p =0.028) และโรคประจำตัว (r = -0.50), p = 0.019) ส่วนตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการการดูแลของสมาชิกในครอบครัวผู้อายุเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การตายอย่างสงบ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 คือ ศาสนา
(r = -0.66 , p = 0.005) และระดับ 0.05 คืออายุ ( r = -0.52, p = 0.038) เพศ (r = -0.57, p = 0.019) ระดับการศึกษา( r = 0.50, p = 0.048) รายได้ (r - -0.62, p =0.028) และอาชีพ ( r = -0.59, p = 0.015)
4. สรุปความต้องการการดูแลผู้สูงอายุเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การตายอย่างสงบที่โรงพยาบาลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก
ในทัศนคติของผู้สูงอายุพบว่า การตายอย่างสงบที่โรงพยาบาล เป็นการตายที่ไม่เจ็บปวด ไม่ทุกข์ทรมาน โดยได้จัดการสิ่งต่าง ๆ ที่คั่งค้างไว้ให้สำเร็จลงแล้ว และแวดล้อมด้วยผู้เป็นที่รัก ไม่ถูกทอดทิ้งอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย การตายที่โรงพยาบาล เป็นการตายที่เชื่อมั่นได้ว่าได้รับการช่วยเหลืออย่างดีที่สุดแล้วจากแพทย์พยาบาลเพื่อให้มีชีวิตรอด โดยญาติและครอบครัวจะได้รับการช่วยเหลือดูแลหลังที่ตนเสียชีวิตแล้วจากแพทย์ พยาบาลเป็นผู้ที่มีความรู้ มีจรรยาบรรณวิชาชีพ สภาพของผู้เสียชีวิตจะได้รับการปกป้องดูแลอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และต้องการให้เพิ่มความใกล้ชิด เห็นอกเห็นใจ ให้ความยืดหยุ่นแก่ญาติและผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยให้ความดูแลอย่างเอื้ออาทร และผ่านปรนกฎระเบียบลงบ้าง
ในทัศนะของครอบครัวผู้สูงอายุ พบว่า การตายอย่างสงบที่โรงพยาบาล เป็นการตายที่ไม่เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ที่ไม่ได้สร้างภาระให้กับผู้อื่นและครอบครัว เป็นการตายที่สามารถรู้ตัวก่อนและมีโอกาสได้สั่งเสีย ร่ำลา และมีโอกาสสร้างการยอมรับต่อการตายได้ทั้งตัวผู้ป่วยและครอบครัว การตายที่โรงพยาบาล ควรมีการจัดสถานที่เฉพาะ มีความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้ป่วยที่จะเสียชีวิตให้ญาติและครอบครัวมีโอกาสได้ล่ำลาเป็นครั้งสุดท้ายอย่างสมเกียรติและมีความเหมาะสม ควรมีการฝึกอบรมการใช้คำพูดและกิริยาที่แสดงความเคารพและให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตและครอบครัว แพทย์ควรแจ้งพยากรณ์ของโรคและสื่อสาร ถ่ายทอดให้ผู้ป่วยและญาติรับรู้อย่างเข้าใจเพื่อสามารถเตรียมการได้อย่างมีสติก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตหรือใกล้เสียชีวิต