รายงานการวิจัย (Research Reports)
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4735
2024-03-27T11:33:54Z
-
การจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะส่งผลต่อการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัดชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยบูรพา
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10283
การจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะส่งผลต่อการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัดชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยบูรพา
นงนุช ล่วงพ้น; ศิริรัตน์ เกียรติกุลานุสรณ์; กุลธิดา กล้ารอด; สานิตา สิงห์สนั่น; พรพรหม สุระกุล
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยในห้องเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนิสิตกายภาพบำบัดที่เรียนรายวิชาประสาทวิทยาศาสตร์ที่เรียนแบบอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะและแบบ ปกติ 2. เพื่อศึกษาผลการปฏิบัติงานของนิสิตที่เรียนด้วยการเรียนแบบอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะ รายวิชา ประสาทวิทยาศาสตร์สำหรับกายภาพบำบัดและแบบปกติ 3. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนิสิตที่ เรียนด้วยการเรียนแบบอีเลิร์นนิง แบบชี้แนะ รายวิชาประสาทวิทยาศาสตร์สำหรับกายภาพบำบัดและแบบ ปกติ 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนิสิตที่เรียนด้วยการเรียนแบบอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะรายวิชาประสาท วิทยาศาสตร์สำหรับกายภาพบำบัดและแบบปกติ โดยศึกษาในกลุ่มนิสิตกายภาพบำบัดชั้นปีที่ 2 สาขาวิชา กายภาพบำบัดรหัส 64 จำนวน 47 คน หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัด หลักสูตร ปรับปรุง พ.ศ. 2560 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา 68321260 ประสาทกายวิภาคศาสตร์ สำหรับ กายภาพบำบัด จำนวนหน่วยกิต 2(2-0-4) ในภาคการศึกษาต้นปีการศึกษา 2565 โดยแบ่งนิสิตออกเป็น 2 กลุ่ม คือเรียนแบบอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะ จำนวน 23 คน และกลุ่มที่เรียนปกติ จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการเรียนด้วยวิธีการเรียนแบบอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะ ทั้ง 3 เรื่อง บทเรียนอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะ ทั้ง 3 เรื่อง แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ของนิสิต แลลประเมินผลการปฏิบัติงานของนิสิต แบบประพฤติกรรมการ เรียนรู้ของนิสิต แบบสอบถามความพึงพอใจของนิสิตต่อการจัดการเรียนการสอนซึ่งข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์ ข้อมูลดยใช้ค่าเฉลี่ยน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (t-test) ผลการศึกษาพบว่า ด้านการ ปฏิบัติงาน พฤติกรรมการเรียน และความพึงพอใจของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน แต่ผลผลสัมฤทธิ์ ของการจัดการเรียนการสอนทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.001 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่เรียนผ่านอีเลิร์นนิงแบบชี้แนะมีผลสัมฤทธิ์การเรียนดีกว่าเนื่องมาจากนิสิต สามรถเข้าไปทบทวนเนื้อหาบทเรียนได้ตลอดเวลา และทุกที่เท่าที่ต้องการ จึงเป็นวิธีการจัดการเรียนการ สอนทางเลือกที่ดีในช่วงการแพร่ระบาดของโคโรนา 2019
ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัย ประเภทเงินรายได้ ประจำปีงบประมาณ 2564 คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
2565-01-01T00:00:00Z
-
กล่องข้าวควบคุมสัดส่วนอาหารช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10274
กล่องข้าวควบคุมสัดส่วนอาหารช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
ทนุอุดม มณีสิงห์; เพ็ชรงาม ไชยวานิช; สุดใจ ส่งสกุล; ปิยะพงษ์ ประเสริฐศรี; อุไรภรณ์ บูรณสุขสกุล; รังสิมา ดรุณพันธ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) น้ำตาลหลังอดอาหาร (FBS) และการวัดสัดส่วนร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ระหว่างกล่องข้าวควบคุมสัดส่วนอาหารเปรียบเทียบกับการให้คำปรึกษาทางด้านโภชนบำบัด โดยมีการศึกษาความจำเพาะเจาะจงของขนาดกล่อง
ข้าวควบคุมสัดอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการพลังงานในผู้ป่วยแต่ะละราย ต่อการควบคุมการ
รับประทานอาหารในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เครื่องมือที่ช่วยในการควบคุม
สัดส่วนอาหาร ในการให้คำปรึกษาทางด้านโภชนาการแก่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และศึกษาความพึงพอใจของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ต่อกล่องข้าวควบคุมสัดส่วนอาหารและการได้รับคำปรึกษาทางด้านโภชนบำบัดโดยทั่วไป ผลการวิจัยพบว่าอาสาสมัครที่ใช้กล่องข้าวควบคุมสัดส่วนอาหารและการได้รับคำปรึกษาด้านโภชนาการมีระดับน้ำตาลสะสมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่พบความแตกต่างของระดับน้ำตาลสะสมระหว่างกลุ่ม ในส่วนของสัดส่วนร่างกายได้แก่ น้ำหนักตัว เปอร์เซ็นต์ไขมัน และวลกล้ามเนื้อ ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้ง 2 กลุ่ม ในส่วนของระดับความหิว ความอิ่มของอาสาสมัครพบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อการใช้กล่องข้าวควบคุมสัดส่วนอาหารอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้เมื่อวิเคราะห์ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ได้รับ พบว่าอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มได้รับพลังงานจากอาหาร คาร์โบไฮเดรต และไขมันที่ลดลงจากการควบคุมการรับประทานอาหาร แต่ในทางกลับกันกลับรับประทานโปรตีนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สรุปผลการวิจัยได้ว่า การควบคุมสัดส่วนการรับประทานอาหารและการได้รับคำปรึกษาทางด้านโภชนาการที่เหมาะสม ล้วนมีส่วนสำคัญและส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน
2565-01-01T00:00:00Z
-
ผลของการใช้สมาร์ทโฟนด้วยมือหนึ่งข้างและสองข้างต่อท่าทางคอไหล่ อาการปวด ความตึงตัวของเส้นประสาทมีเดียน แรงบีบมือ การไหลเวียนเลือดส่วนปลายและสมรรถภาพปอดในนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10273
ผลของการใช้สมาร์ทโฟนด้วยมือหนึ่งข้างและสองข้างต่อท่าทางคอไหล่ อาการปวด ความตึงตัวของเส้นประสาทมีเดียน แรงบีบมือ การไหลเวียนเลือดส่วนปลายและสมรรถภาพปอดในนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
พิมลพรรณ ทวีการ วรรณจักร; คุณาวุฒิ วรรณจักร; ทัศวิญา พัดเกาะ; พรพิมล เหมือนใจ; อรชร บุญลา; จันทร์ทิพย์ นามสว่าง
ปัจจุบันพบว่านักเรียนในระดับอุดมศึกษามีการใช้สมาร์ทโฟนกันอย่างแพร่หลาย การศึกษาเกี่ยวกับผล
ของการเกิดโรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อในผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนมีมาไม่นาน ก่อนหน้านี้การศึกษาครั้งนี้มี
วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของท่าทางคอไหล่ อาการปวด ความตึงตัวของเส้นประสาทมีเดียนแรงบีบมือ การไหลเวียนเลือดส่วนปลายและสมรรถภาพปอดในนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ใช้สมาร์ทโฟนด้วยมือหนึ่งข้างและสองข้าง จากผลการศึกษาพบว่ามุมคอยื่นในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือหนึ่งข้างมีลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = ๐.๐๐๒) ภายหลังการใช้สมาร์ทโฟน ๓๐ นาทีเมื่อเปรียบเทียบภายในกลุ่ม กลุ่มเล่นมือถือด้วยมือสองข้างไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม ภาวะไหล่งุุ้มด้านขวาและซ้ายในสองกลุ่มมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่ม (p = ๐.๐๐๐๑, ๐.๐๐๓, ๐.๐๐๐๑, ๐.๐๓ ตามลำดับ) แต่ไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม แรงบีบมือด้านขวาและซ้ายในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือหนึ่งข้างไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่มแต่ในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือสองข้างมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่ม (p = ๐.๐๐๒, ๐.๐๐๑ ตามลำดับ) และไม่พบความแตกต่างกันระหว่างกลุ่ม อาการปวดคอทั้งสองกลุ่มมีค่าเพิ่มขึ้นหลังการเล่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=๐.๐๐๐๑, ๐.๐๐๐๑ ตามลำดับ) แต่ไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติระหว่างกลุ่ม อาการปวดบ่าไหล่ทั้งสองกลุ่มมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังการเล่น (p=๐.๐๐๐๑, ๐.๐๐๐๑ ตามลำดับ) และพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=๐.๐๔) ระหว่างกลุ่มอาการปวดข้อศอกในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือหนึ่งข้างมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นหลังการเล่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=๐.๐๐๑) ส่วนในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือสองข้างมีไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม อาการปวดข้อมือทั้งสองกลุ่มมีค่าเพิ่มขึ้นหลังการเล่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=๐.๐๐๑, ๐.๐๓ ตามลำดับ) แต่ไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มอาการปวดนิ้วมือและนิ้วโป้งในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือหนึ่งข้างมีค่าเฉลี่ยมีค่าเพิ่มขึ้นหลังการเล่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=๐.๐๒, ๐.๐๐๓ ตามลำดับ) ส่วนในกลุ่มเล่นมือถือด้วย
มือสองข้างมีไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มความตึงตัวของ
เส้นประสาทมีเดียนทางด้านขวาและซ้ายของทั้งสองกลุ่มมีค่าเฉลี่ยมีค่าลดลงหลังการเล่นอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (p=๐.๐๐๐๒, ๐.๐๐๐๑, ๐.๐๐๑, ๐.๐๒ ตามลำดับ) แต่ไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม การไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลายบริเวณหน้าข้อมือ บริเวณ Radial artery และบริเวณ Ulnar artery ข้างขวาและข้างซ้ายทั้งสองกลุ่มไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม ค่า FVC, FEV1, FEV1/FVC, TV, IRV และ ERV ในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือหนึ่งข้างและสองข้างไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม และ ค่า VC ในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือหนึ่ งข้างไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่ม แต่ในกลุ่มเล่นมือถือด้วยมือสองข้างมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่ม (p=๐.๐๓) แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่ม จะเห็นได้ว่าท่าทางการใช้งานสมาร์ทโฟนที่แตกต่างกันอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของมุมคอยื่นและอาการปวดบ่าได้
2564-01-01T00:00:00Z
-
ศึกษาภาวะการรู้คิดทางการเคลื่อนไหวในวัยผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะความบกพร่องทางพัฒนาการ การทำงานประสานสัมพันธ์กันของร่างกาย
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10270
ศึกษาภาวะการรู้คิดทางการเคลื่อนไหวในวัยผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะความบกพร่องทางพัฒนาการ การทำงานประสานสัมพันธ์กันของร่างกาย
พรพรหม สุระกุล; กุลธิดา กล้ารอด; ศิริรัตน์ เกียรติกูลานุสรณ์; นงนุช ล่วงพ้น; พรพิมล เหมือนใจ; จันทร์ทิพย์ นามสว่าง; คมวุฒิ คนฉลาด
ภาวะความบกพร่องทางพัฒนาการการทำงานประสานสัมพันธ์กันของร่างกาย (Developmental coordination disorder หรือ DCD) พบว่ามีความผิดปกติทางด้านการทำงานประสานสัมพันธ์ของร่างกาย การทรงตัว และการเคลื่อนไหวที่มักแสดงให้เห็นในวัยเด็ก หากไม่ได้รับการแก้ไขอาจส่งผลต่อเนื่องเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นซึ่งมักแสดงออกถึงความยากลำบากเมื่อต้องเผชิญกับการทำกิจกรรมที่ต้องอาศัยทักษะการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน มีรายงานเพิ่มเติมว่าภาวะ DCD ยังมีความเกี่ยวข้องกับความจำสำหรับการทำงานด้านการรับรู้ทางมิติสัมพันธ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรู้คิดในการที่จะทำให้บุคคลสามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้อย่างอิสระ ในประเทศไทยยังขาดรายงานการศึกษาเกี่ยวกับภาวะ DCD ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการรู้คิดทางการเคลื่อนไหว ได้แก่ ความสามารถในการทรงตัว การทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกัน ปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการล้ม และการรู้คิดด้านมิติสัมพันธ์ของกลุ่ม ผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีและไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะ DCD ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยจะถูกสัมภาษณ์โดยนัก กายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ทางคลินิกเพื่อแยกออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยง (suspected) ต่อภาวะ DCD หรือ sDCD และกลุ่มควบคุมที่ไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะ DCD ผู้เข้าร่วม โครงการวิจัยทุกคนจะถูกทดสอบความสามารถการทรงตัวขณะอยู่นิ่ง (static balance test) การทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกัน (dual task test) บนเครื่อง biometric e-link four force plate version 14 (DFP4) การทดสอบปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการล้ม (simple reaction time test) และการทำงานของสมองส่วนหน้าด้วยเครื่อง functional near-infrared spectroscopy (fNIRS) ขณะทำการทดสอบการ รู้คิดด้านมิติสัมพันธ์ จากการศึกษาพบการลดลงของการควบคุมการทรงตัวขณะอยู่นิ่งเมื่อรบกวน somatosensory system เมื่อให้ทำงานสองอย่างร่วมกันพบการลดลงของการควบคุมการทรงตัวในทุกเงื่อนไข และพบการลดลงของปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการล้ม ในกลุ่ม sDCD เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมการทำงานสองอย่างร่วมกันทำให้มีการแบ่งความสนใจซึ่งบ่งบอกถึงการรู้คิด ในกลุ่ม sDCD อาจใช้การรู้คิดชดเชยความ บกพร่องทางการเคลื่อนไหวดังนั้นเมื่อการรู้คิดถูกรบกวนจึงส่งผลต่อการควบคุมการทรงตัวได้ การศึกษาต่อไปหากสามารถฝึกทักษะการรู้คิดทางการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะด้านมิติสัมพันธ์อาจส่งผลให้ sDCD มี ทักษะทางการควบคุมการทรงตัวที่ดีขึ้นเป็นการลดความเสี่ยงต่อการล้มเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุต่อไป
2565-01-01T00:00:00Z