รายงานการวิจัย (Research Reports)
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4760
2024-03-29T01:31:26Z
2024-03-29T01:31:26Z
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาต่อการแก้ปัญหาทางสังคมและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล
ดวงใจ วัฒนสินธุ์
ภรภัทร เฮงอุดมทรัพย์
สิริพิมพ์ ชูปาน
ศิริวัลห์ วัฒนสินธุ์
รัศมิ์สุนันท์ จันทรภักดี
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/9288
2023-08-07T09:09:39Z
2560-01-01T00:00:00Z
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาต่อการแก้ปัญหาทางสังคมและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล
ดวงใจ วัฒนสินธุ์; ภรภัทร เฮงอุดมทรัพย์; สิริพิมพ์ ชูปาน; ศิริวัลห์ วัฒนสินธุ์; รัศมิ์สุนันท์ จันทรภักดี
นักศึกษาพยาบาลเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าเนื่องจากต้องเผชิญกับการปรับตัวที่หลากหลายทั้งด้านพัฒนาการตามวัย การเรียน และการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัย หากนักศึกษาพยาบาลมีทักษะการแก้ปัญหาทางสังคมที่มีประสิทธิภาพก็จะสามารถจัดการกับปัญหาที่เข้ามาได้อย่างดี ทำให้มีภาวะสุขภาพจิตที่ดีและไม่มีภาวะซึมเศร้า โครงการวิจัยนี้แบ่งออกเป็นสองระยะ ระยะที่หนึ่งเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาภาวะซึมเศร้าและการแก้ปัญหาทางสังคมของนักศึกษาพยาบาลที่ศึกษาอยู่ในคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเขตภาคตะวันออก ในปีการศึกษา 2560 จำนวน 650 คน ส่วนระยะที่สองเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดก่อน การทดลอง หลังการทดลอง และติดตามผล 1 เดือน เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาต่อการแก้ปัญหาและภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล จำนวน 60 คน ที่มีภาวะซึมเศร้าระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่ายเข้ากลุ่มกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินภาวะซึมเศร้า และแบบประเมินการแก้ปัญหาทางสังคม ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ .89 และ .83 และโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหา ดำเนินการทดลองระหว่างเดือนมกราคมถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ และการเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีบอนเฟอโรนี
ผลการศึกษาพบว่า
1. ผลการวิจัยในระยะที่หนึ่งพบว่า นักศึกษาพยาบาลมีภาวะซึมเศร้าคิดเป็นร้อยละ 32 โดยมีภาวะซึมเศร้าในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางร้อยละ 18 และระดับรุนแรงร้อยละ 14
2. ผลการวิจัยในระยะที่สองพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการแก้ปัญหาทางสังคมในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=106.20, SD.= 14.03 ;X ̅=106.77, SD.= 13.27) สูงกว่ากลุ่มควบคุม ( ̅X=101.07, SD.= 9.34 ;X ̅=101.30, SD.= 9.48) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=13.30, SD.=4.63; ̅X=8.70, SD.=4.42) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม ( ̅X=18.67, SD.=2.50 ;X ̅=18.00, SD.=3.43) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการแก้ปัญหาทางสังคมในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที (X ̅=106.20, SD.=14.03) และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=106.77, SD.=13.27) สูงกว่าระยะก่อนการทดลอง
(X ̅=99.60, SD.=13.14) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
5. กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าในระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที (X ̅=13.30, SD.=4.63) และระยะติดตามผล 1 เดือน (X ̅=8.70, SD.=4.42) ต่ำกว่าระยะก่อนการทดลอง (X ̅=19.03, SD.=2.04) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ภาวะซึมเศร้าในนักศึกษาพยาบาลถือเป็นประเด็นปัญหาทางด้านสุขภาพจิตสำคัญที่คณาจารย์หรือบุคลากรทางสุขภาพควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ควรมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิต เพื่อการประเมิน ช่วยเหลือ และติดตามภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด ตลอดจนนำโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาไปประยุกต์ในการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางสังคมและลดภาวะซึมเศร้าของนักศึกษาพยาบาล หรือนักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มอื่นต่อไป
โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
2560-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของแรงงานไทยในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก
จันทนา เกิดบางแขม
ภรภัทร เฮงอุดมทรัพย์
สรพงษ์ เจริญกฤตยาวุฒิ
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4403
2022-09-27T10:26:59Z
2564-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของแรงงานไทยในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก
จันทนา เกิดบางแขม; ภรภัทร เฮงอุดมทรัพย์; สรพงษ์ เจริญกฤตยาวุฒิ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านส่วนบุคคล ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ด้านการทำงาน และด้านสังคมที่ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าของแรงงานไทยในระบบในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ กลุ่มคนวัยแรงงานที่ถือสัญชาติไทยที่มีอายุอยู่ระหว่าง 18 ถึง 60 ปี ในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้แก่ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา รวมจำนวนทั้งสิ้น 455 ราย การสุ่มตัวอย่างใช้แบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามภาวะซึมเศร้า แบบสอบถามคุณภาพการนอนหลับ แบบสอบถามความเครียดจากการทำงาน แบบสอบถามสมดุลชีวิตกับการทำงาน และแบบสอบถามการรับรู้การสนับสนุนทางสังคม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติก ผลการวิจัย พบว่า ร้อยละ 40.44 ของแรงงานตัวอย่างเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ผลการวิเคราะห์การถดอถอยลอจิสติก พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของแรงงานไทยในระบบในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้แก่ สถานภาพสมรม สถานะทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมการออกกำลังกาย คุณภาพการนอนหลับ ความเครียดจากการทำงาน และแรงสนับสนุนทางสังคมด้านอารมณ์ อย่างไรก็ดี ผลการศึกษากลับพบว่า ตัวแปรเพศ อายุ ระดับการศึกษา ดัชนีมวลกาย โรคและการเจ็บป่วย ลักษณะงาน การทำงานเป็นกะ สมดุลชีวิตกับการทำงาน และจังหวัดที่ทำงาน ไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของแรงงานไทยในระบบในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกแต่อย่างใด"
งานวิจัยนี้ ได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยจากงบประมาณกองทุนวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เลขที่สัญญา 021/2562
2564-01-01T00:00:00Z
การพัฒนารูปแบบการจัดการภาวะซึมเศร้าของแรงงานไทยเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
โสรัตน์ วงศ์สุทธิธรรม
ฉวีรัตน์ ชื่นชมกุล
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4402
2022-09-28T06:45:29Z
2564-01-01T00:00:00Z
การพัฒนารูปแบบการจัดการภาวะซึมเศร้าของแรงงานไทยเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
โสรัตน์ วงศ์สุทธิธรรม; ฉวีรัตน์ ชื่นชมกุล
การช่วยเหลือดูแลแรงงานที่มีภาวะซึมเศร้าจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ จึงจะทำให้การช่วยเหลือดูแลแรงงานที่มีภาวะซึมเศร้าในสถานประกอบการเกิดประโยชน์สูงสุด การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative descriptive research) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการภาวะซึมเศร้า และพัฒนารูปแบบการจัดการภาวะซึมเศร้าของแรงงานในสถานประกอบการเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ผู้ให้ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ คือ บุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก คือ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา จำนวน 28 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์แก่นสาระ (Miles, Huberman & Saldana, 2014)
ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพปัญหาการจัดการภาวะซึมเศร้าของแรงงาน มีประเด็นหลักดังนี้ (1) สุญญากาศ -ขาดความเชื่อมโยง (2) แฝงไว้กับงาน และ(3) พึ่งพาตนเอง 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการภาวะซึมเศร้าของแรงงานในสถานประกอบการ ได้ 3 ประเด็น คือ (1) ทัศนคติและความเชื่อเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า (2) ความรู้ และทักษะการจัดการ (3) ขนาด ลักษณะสิ่งแวดล้อม และสวัสดิการของสถานประกอบการ และ(4) นโยบายสถานประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 3) รูปแบบการจัดการภาวะซึมเศร้าของแรงงานในสถานประกอบการเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ประกอบด้วย (1)บูรณาการนโยบาย-สร้างความร่วมมือ (2) นโยบายของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ (3) สร้างวัฒนธรรมของสถานประกอบการ และ(4) พัฒนากระบวนการทำงานของสถานประกอบการอย่างต่อเนื่องเพื่อการดูแลพนักงานที่มีภาวะซึมเศร้า ได้แก่ การประเมินความเสี่ยง วางแผนเสริมสร้างทัศนคติ/ความเชื่อ สร้างความรู้ความเข้าใจภาวะซึมเศร้า สร้างทักษะUpskill-Reskill รวมทั้งสร้างพลังอำนาจพนักงาน สร้างสรรค์วิธีการดูแล และจัดโปรแกรมให้ความช่วยเหลือพนักงานในสถานประกอบการ ผลการวิจัยสามารถนารูปแบบการจัดการภาวะซึมเศร้าของแรงงานไปใช้ในสถานประกอบการได้
โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากกองทุนวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา ประจำปี พ.ศ. 2562
2564-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดในผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ใส่ท่อระบายทรวงอก
กัลชนา ศรีพรหม
นิภาวรรณ สามารถกิจ
เขมารดี มาสิงบุญ
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4123
2023-01-21T03:16:52Z
2563-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดในผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ใส่ท่อระบายทรวงอก
กัลชนา ศรีพรหม; นิภาวรรณ สามารถกิจ; เขมารดี มาสิงบุญ
ผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ใส่ท่อระบายทรวงอกที่มีพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดที่ไม่เหมาะสมจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดแฟบ ปอดติดเชื้อได้ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอาการปวด ความวิตกกังวล และความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพปอดกับพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดในผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ใส่ท่อระบายทรวงอก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ได้รับการใส่ท่อระบายทรวงอกที่เข้าพักรักษา ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี จำนวน 84 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคม ถึง ธันวาคม 2561 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามอาการปวด แบบสอบถามความวิตกกังวล แบบสอบถามพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอด แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพปอด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยอาการปวดในระดับน้อย (M = 4.72, SD = 1.67) คะแนนเฉลี่ยความวิตกกังวลในระดับต่ำ (M = 7.19, SD = 4.21) คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพปอดในระดับต่ำ (M = 11.00, SD = 4.54) และมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดในระดับปานกลาง (M = 30.27, SD = 7.59) อาการปวดและความวิตกกังวลมีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดในผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ใส่ท่อระบายทรวงอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = -.34, p < .05; r = -.21, p < .01 ตามลำดับ) ส่วนความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพปอดไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดในผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ใส่ท่อระบายทรวงอก (r = .06, p >.05) ผลจากการศึกษาครั้งนี้เสนอแนะว่า บุคลากรสุขภาพควรมีการประเมินอาการปวดและความวิตกกังวล และการจัดการอาการปวดและความวิตกกังวลให้มีประสิทธิภาพในระยะเฉียบพลัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยบาดเจ็บทรวงอกที่ใส่ท่อระบายทรวงอกมีพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพปอดที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
2563-01-01T00:00:00Z