DSpace Collection:
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4755
2024-03-28T22:58:43Z
-
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดคอลลาเจนจากเกล็ดปลาทะเล
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10279
Title: ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดคอลลาเจนจากเกล็ดปลาทะเล
Authors: ศรัญญา ยิ้มย่อง; ธันย์ชนก ศิริรักษ์; สิริกุล กวมทรัพย์; ณิษา สิรนนท์ธนา
Abstract: ในกระบวนการผลิตปลามักมีเศษวัสดุเหลือทิ้งอย่างเช่นเกล็ดปลาซึ่งเป็นแหล่งของคอลลาเจน ดังนั้น จึงทำการวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมี การสกัดคอลลาเจนที่ละลายได้ในกรดอ่อนร่วมกับคลื่นไมโครเวฟ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของคอลลาเจนจากเกล็ดปลาทะเล โดยเกล็ดปลากะพงขาว (Lates calcarifer) เกล็ดปลาเก๋า (Epinephelus malabaricus) และเกล็ดปลาช่อนทะเล (Rachycentron canadum) มีปริมาณโปรตีนอยู่ในช่วงร้อยละ 48.13 - 55.05 และมีปริมาณไขมัน
อยู่ในช่วงร้อยละ 0.05 - 0.07 ปริมาณกรดไขมันในเกล็ดปลาทะเล พบองค์ประกอบของกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (SFAs) มากที่สุด อยู่ในช่วง 39.59 - 48.91 %TFA โดยมีกรดปาล์มิติก (16:0) และกรดเฮปตาเดคาโนอิก (17:0) เป็นชนิดเด่น ตามด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFAs; 3.10 - 8.99 %TFA) และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs; 1.09 - 4.62 %TFA) การวิเคราะห์สารสกัดคอลลาเจนด้วยกรดอ่อนร่วมกับคลื่นไมโครเวฟด้วยเทคนิค FTIR พบจำนวน 5 พีค ได้แก่ amide A พบที่เลขคลื่น 3281.10 cm-1 amide B พบที่เลขคลื่น 2935.61 cm-1 amide I พบที่เลขคลื่น 1628.22 cm-1 amide II พบที่เลขคลื่น 1547.99 cm-1 และ amide III พบที่เลขคลื่น 1237.76 cm-1 กรดอะมิโนในสารสกัดคอลลาเจนจากเกล็ดปลาทะเล พบกรดอะมิโนที่มีปริมาณสูง 3 อันดับ
แรก คือ ไกลซีน โพรลีน และ อะลานีน และการศึกษารูปแบบโปรตีนด้วยเทคนิค SDS–PAGE เปรียบเทียบกับคอลลาเจนบริสุทธิ์พบว่าคอลลาเจนจากเกล็ดปลาทะเลเป็นชนิดที่ 1 การศึกษาฤทธิ์ในการยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH และ ABTS ของสารสกัดหยาบคอลลาเจนจากเกล็ดปลาทะเล พบว่า การสกัดด้วยกรดอ่อนร่วมกับคลื่นไมโครเวฟให้สารสกัดคอลลาเจนที่มีฤทธิ์ดีกว่าการสกัดด้วยกรดอ่อนร่วมกับคลื่นอัลตร้าโซนิค โดยสารสกัดคอลลาเจนจากเกล็ดปลากะพงขาวมีฤทธิ์ในการยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH ได้ดี มีค่า IC50 เท่ากับ 12.75 และ 14.31 mg/ml ในขณะที่ สารสกัดคอลลาเจนจากเกล็ดปลาช่อนทะเลมีฤทธิ์ในการยับยั้งอนุมูลอิสระ ABTS ได้ดี มีค่า IC50 เท่ากับ 0.38 และ 3.11 mg/ml ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสารสกัดคอลลาเจนที่ละลายได้ในกรดอ่อนจากเกล็ดปลากะพงขาวและเกล็ดปลาช่อนทะเล สามารถเป็นแหล่งทางเลือกของการผลิตคอลลาเจนที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ
2566-01-01T00:00:00Z
-
การคัดแยกและลักษณะสมบัติของแบคทีเรียย่อยสลายปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนที่ทนโลหะหนักจากฟองน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และการพัฒนาแบคทีเรียพร้อมใช้สำหรับบำบัดสิ่งแวดล้อม
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4468
Title: การคัดแยกและลักษณะสมบัติของแบคทีเรียย่อยสลายปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนที่ทนโลหะหนักจากฟองน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และการพัฒนาแบคทีเรียพร้อมใช้สำหรับบำบัดสิ่งแวดล้อม
Authors: ชุติวรรณ เดชสกุลวัฒนา
Abstract: ปัญหาการปนเปื้อนน้ำมันปิโตรเลียมในสิ่งแวดล้อมทางทะเล ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจของประเทศ งานวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒาแบคทีเรียพร้อมใช้ในรูปแบบเซลล์ตรึงสำหรับบำบัดสิ่งแวดล้อมปนเปื้อนปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน โดยใช้ Sphingobium sp. MO2-4 ซึ่งเป็นแบคทีเรียย่อยสลายน้ำมันปิโตรเลียมที่คัดแยกจากตัวอย่างฟองน้ำทะเล และไม่เป็นเชื้อก่อโรค จากการทดสอบประสิทธิภาพการย่อยสลายน้ำมันดิบในสภาวะต่าง ๆ พบว่าเซลล์อิสระของ Sphingobium sp. MO2-4 สามารถย่อยสลายน้ำมันดิบความเข้มข้น 0.25% (ปริมาตร/ปริมาตร) ในสภาวะที่ผันแปรความเค็มโดยการเติม NaCl 1.5-5.5% และแปรผันค่า pH ที่ 7 และ 9 ได้ประมาณ 50% ในเวลา 7 วันในขณะที่เมื่อค่า pH เท่ากับ 5 ประสิทธิภาพการย่อยสลายลดลงเหลือเพียง 17% และในภาวะที่มีการเติมตะกั่ว พบว่าประสิทธิภาพย่อยสลายน้ำมันดิบลดลงเหลือเพียง 9% แต่ยังสามารถพบการเจริญของเชื้อได้ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายน้ำมันดิบในสภาวะที่ไม่เหมาะสมจึงเลือกวิธีการตรึงเซลล์เพื่อช่วยลดผลกระทบของปัจจัยทางกายภาพที่มีต่อเซลล์ โดยวัสดุตรึงที่เลือกใช้ได้แก่ หินพัมมิส, โฟมโพลียูรีเทน, ไบโอบอล, และอควาพอรัสเจล ผลการทดลองพบว่า วัสดุตรึงที่เหมาะสมที่สุดคือ Sphingobium sp. MO2-4 บนอควาพอรัสเจลที่เหมาะสมที่สุดคือ ใช้อความพอรัสเจลปริมาณ 1.5 กรัม และเวลาในการตึง 4 วัน โดยสามารถตรึงเซลล์ได้ประมาณ 6x10 7 CFU/ กรัม อควาพอรัสเจล จากหัวเชื้อเริ่มต้น 10 8 CFU/ มิลลิลิตร เมื่อนำแบคทีเรียตรึงไปทดสอบประสิทธิภาพการย่อยสลายน้ำมันดิบในสภาวะที่ไม่เหมาะสม โดยเลือกสภาวะที่มีค่า pH เท่ากับ 5 สภาวะที่มีตะกั่ว ผลการทดลองพบว่าแบคทีเรียตรึงสามารถย่อยสลายน้ำมันดิบได้ดีกว่าเซลล์อิสระในสภาวะเดียวกัน และยังมีอัตราการอยู่รอดที่สูงกว่าเซลล์อิสระอีกด้วย ดังนั้นแบคทีเรียพร้อมใช้รูปแบบเซลล์ตรึงจึงมีแรชนวโน้มที่จะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาต่อยอดสำหรับบำบัดสิ่งแวดล้อมปนเปื้อนปิโตรเลี่ยมไฮโดรคาร์บอนได้ดี
Description: โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
2561-01-01T00:00:00Z
-
ความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์กลุ่มเม่นทะเลในน่านน้ำไทย
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4467
Title: ความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์กลุ่มเม่นทะเลในน่านน้ำไทย
Authors: สุเมตต์ ปุจฉาการ
Abstract: จากการสำรวจ ทบทวนเอกสารอ้างอิง รวมไว้พบสัตว์กลุ่มเม่นทะเลที่มีรายงานว่าอยู่ในน่านน้ำไทยทั้งหมดจำนวน 9 อันดับ 21 วงศ์ 52 สกุล 68 ชนิด แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทำการสำรวจและการเก็บข้อมูลตัวอย่างภาคสนาม ศึกษาตัวอย่างจากพิพิธภัณฑ์อ้างอิงของแหล่งข้อมูลในสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ และทำการจำแนกชนิดและตรวจสอบรายชื่อ ชื่อพ้อง พบเม่นทะเลที่พบในน่านน้ำไทยมีจำนวนลดลงเหลือ 7 อันดับ 19 วงศ์ 40 สกุล 53 ชนิด ในจำนวนนี้เม่นทะเลที่พบมีการแพร่กระจายอยู่เฉพาะในฝั่งทะเลอันดามัน 26 ชนิด เฉพาะในอ่าวไทย 13 ชนิด และทั้งทะเลอันดามันและอ่าวไทย 29 ชนิด อย่างไรก็ตามสัตว์กลุ่มเม่นทะเลที่พบเกือบทั้งหมดเป็นสัตว์ทะเลตามชายฝั่งทะเลและน้ำทะเลไม่ลึก รายชื่อสัตว์กลุ่มเม่นทะเลที่พบมีการเปลี่ยนแปลงชื่อสกุลจำนวน 2 สกุล ได้แก่ Prionocidaris verticillata (Lamarck, 1816) เป็น Plococidaris verticillata (Lamarck, 1816) และสกุล Echinodiscus auritus (Leske, 1778) และ Echinodiscus tenuissimus (L. Agassiz, 1847) เปลี่ยนเป็น Sculpsitechinus auritus (Leske, 1778) และ Sculpsitechinus tenuissimus (L. Agassiz, 1847) ตามลำดับ เม่นหัวใจ Maretia ovata (Leske, 1778) เป็นชื่อพ้องของ Maretia planulata (Lamarck, 1816) มีการจำแนกชนิดคลาดเคลื่อนหลายชนิด ตัวอย่างเช่น Temnotrema reticulatum (Mortensen in de Meijere, 1904) แก้ไขเป็น Temnotrema siamense (Mortensen, 1904) นอกจากนี้ยังพบเม่นทะเล Colobocentrotus (Podophora) atratus (Linnaeus, 1758) ซึ่งเคยมีรายงานในน่านน้ำไทยแต่ในปัจจุบันไม่พบในประเทศไทยแล้ว
Description: โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้ จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
2561-01-01T00:00:00Z
-
ความผันแปรตามฤดูกาลและลักษณะทางพันธุกรรมของประชาคมแพลงก์ตอน บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของอ่าวไทย เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ต่อชุมชมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4465
Title: ความผันแปรตามฤดูกาลและลักษณะทางพันธุกรรมของประชาคมแพลงก์ตอน บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของอ่าวไทย เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ต่อชุมชมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
Authors: ขวัญเรือน ศรีนุ้ย; สุพัฒนา ตะเหลบ; วันศุกร์ เสนานาญ
Abstract: แพลงก์ตอนเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในห่วงโซ่อาหาร ข้อมูลพื้นฐานที่ดีของแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเลในระยะยาว การศึกษาครั้งนี้พบความชุกชุมและความหลากหลายของแพลงก์ตอนที่เก็บตัวอย่างตลอดแนวชายฝั่งทะเลตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงถึงพื้นที่อนุรักษ์พันธุกรรมพืชทางทะเล หมู่เกาะแสมสาร จังหวัดชลบุรี โดยการเก็บตัวอย่าง 6 ครั้ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 ถึงเดือนกันยายน 2560 (เดือนเว้นเดือน) เก็บตัวอย่างจาก 7 สถานี ได้แก่ ปากแม่น้ำบางปะกง (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) เมืองใหม่ (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) อ่างศิลา (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) หาดวอนนภา (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) แหลมฉบัง (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) นาจอมเทียน (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) และหมู่เกาะแสมสาร (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) พบแพลงก์ตอนพืช 4 ดิวิชัน (Division) ได้แก่ Cyanophyta , Chlorophyta , Chromophyta และ Pyrrophyta พบแพลงก์ตอนพืชทั้งสิ้น 110 สกุล แบ่งเป็น class Cyanophyceae 11 สกุล class Chlorophyceae 12 สกุล class Euglenophyceae 4 สกุล class Bacillariophyceae 66 สกุล class Dictyochophyceae 1 สกุล และ class Dinophyceae 16 สกุล โดยจะพบแพลงก์ตอนพืชสกุลเด่น ได้แก่ Chaetoceros, Thalassiosira, Skeletonema, Thalassionema, Tichodesmium, Cylindrotheca, Pleurosigma, Bacteriastrum, Coscinodiscus และ Lithodesmium และพบว่าแพลงก์ตอนพืชกลุ่มไดอะตอมเป็นกลุ่มที่มีความหนาแน่นเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ ที่พบในบริเวณที่ทำการศึกษา แพลงก์ตอนพืชสกุลที่พบได้ทุกเดือนและมีการแพร่กระจายสูงในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ สกุล Chaetoceros และ Thalassiosira..และแพลงก์ตอนสัตว์พบ 54 กลุ่ม 13 ไฟลัม ได้แก่ไฟลัม Protozoa, Cnidaria, Ctenophora, Nematoda, Nemertea, Annelida, Rotifera, Arthropoda, Phoronida, Chaetognatha, Mollusca, Echinodermata และ Chordata พบความชุกชุมเฉลี่ยรวมของแพลงก์ตอนพืชในฤดูแล้งมากกว่าในฤดูฝน.เท่ากับ 3.9 x 106 และ 0.77 x 106 หน่วยต่อลิตร ตามลำดับ พบความชุกชุมเฉลี่ยรวมสูงสุดในเดือน มกราคม.รองลงมาได้แก่ เดือนกันยายน พฤศจิกายน พฤษภาคม มีนาคม กรกฎาคม เท่ากับ 34.33, 6.67, 3.93, 0.99, 0.74 และ 0.06 x 105 หน่วยต่อลิตร ตามลำดับ และแพลงก์ตอนสัตว์ในฤดูแล้งมากและฤดูฝน เท่ากับ 246.76 และ 220.03 X 104 ตัว/ม3 ตามลำดับ ในเดือนมกราคม 2560 พบจำนวนตัวเฉลี่ยรวมสูงสุดที่สถานีแหลมฉบัง (ไกลฝั่ง) เท่ากับ 400.18 X 104 ตัว/ม3 รองลงมาคือเดือนมีนาคม 2560 ที่สถานีหาดวอนนภา (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) สถานีแหลมฉบัง (ใกล้ฝั่งและไกลฝั่ง) พบเท่ากับ (105.70 - 215.45) และ (71.95 - 164.09) X 104 ตัวต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ เดือนที่พบความชุกชุมเฉลี่ยต่ำสุดคือเดือนพฤษภาคม 2560 พบเท่ากับ 52.12 X 104 ตัว/ม3 โดยกลุ่มที่มีความสำคัญในห่วงโซ่อาหารที่เป็นกลุ่มเด่น ได้แก่ Larvaceans (Oikopleara spp.), Chaetognatha (Sagitta spp.), Arthropoda (Lucifer hanseni) และกลุ่มของสัตว์หน้าดินวัยอ่อน (Polychaete larvae) คุณภาพของน้ำทะเลตลอดแนวชายฝั่ง จังหวัดชลบุรี มีความเหมาะสมต่อการเจริญและการดารงชีวิตของสัตว์น้ำ ได้แก่ อุณหภูมิ มีค่าระหว่าง 27.0 – 32.9C ความเค็ม มีค่าระหว่าง 1.8 – 32.9 PSU พีเอช มีค่าระหว่าง 7.6 – 8.8 และค่าออกซิเจนละลายในน้า มีค่าระหว่าง 2.56 – 8.8 (มิลลิกรัม/ลิตร)
จากการศึกษาความผันแปรตามลักษณะทางพันธุกรรมของแพลงก์ตอนสัตว์ในกลุ่มโคพีพอด ชนิด Acrocalanus gibber Giesbrecht, 1888 จากการวิเคราะห์ลาดับนิวคลีโอไทด์ในบริเวณไมโทคอนเดรียของยีนส์ cytochrome oxidase I (COI) พบว่ามีขนาด 659 คู่เบส สามารถจำแนกลำดับทางพันธุกรรมได้ 5 haplotype (polymorphic site=, haplotype= 5 haplotype diversity= 0.8056±0.120, neucleotide diversity= 0.00337±0.00079) ค่า Pairwise genetic distance อยู่ระหว่าง 0-0.008%
Description: โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
2560-01-01T00:00:00Z