DSpace Collection:
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4778
2024-03-26T09:12:52Z
2024-03-26T09:12:52Z
การแช่แข็งหัวเชื้อสาหร่ายขนาดเล็กสำหรับฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเชิงพาณิชย์
ชลี ไพบูลย์กิจกุล
มะลิวัลย์ คุตะโค
รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ
เบ็ญจมาศ ไพบูลย์กิจกุล
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/9488
2023-09-18T04:28:12Z
2561-01-01T00:00:00Z
Title: การแช่แข็งหัวเชื้อสาหร่ายขนาดเล็กสำหรับฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเชิงพาณิชย์
Authors: ชลี ไพบูลย์กิจกุล; มะลิวัลย์ คุตะโค; รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ; เบ็ญจมาศ ไพบูลย์กิจกุล
Abstract: การศึกษาครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 การทดลอง การทดลองที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของชนิดสาหร่ายขนาดเล็ก ชนิดสารป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งต่ออัตราการรอดของเซลล์สาหร่ายขนาดเล็กที่เก็บรักษาเซลล์ด้วยวิธีการแช่แข็ง ทำการเพาะเลี้ยงสาหร่ายคลอเรลลา คีโตเซอรอส และเตตราเซลมิส ที่ความเค็ม 30 ppt ด้วยอาหารสูตร Guillard's medium จากนั้นเก็บรวบรวมเซลล์และเติมสารละลายป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็ง 2 ชนิด ได้แก่ กลีเซอรอล และ DMSO ที่ความเข้มข้น 5% นำไปลดอุณหภูมิแล้วนำไปแช่ที่อุณหภูมิ -20 C เป็นเวลา 3 วัน เมื่อครบกำหนดการเก็บรักษาเซลล์สาหร่ายทำการละลาย ล้างเซลล์แล้วนำไปเพาะเลี้ยง ทำการคำนวณอัตราการรอดของสาหร่าย ผลการศึกษาพบว่ามีปฏิกิริยาสัมพันธ์ระหว่างชนิดสาหร่าย และชนิดสารละลายป้องกันการแช่แข็ง คลอเรลลามีอัตรารอดสูงที่สุด เมื่อทำการแช่แข็งด้วยสารละลาย DMSO เมื่อพิจารณาการเก็บสาหร่ายแช่แข็งด้วยสารละลายกลีเซอรอล พบว่า คลอเรลลามีอัตรารอดมากที่สุด รองลงมาได้แก่ เตตราเซลมิส และคีโตเซอรอส ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาการเก็บรักษาสาหร่ายแช่แข็งตามชนิดของสาหร่ายพบว่า คลอเรลลาที่เก็บรักษาด้วยสารละลาย DMSO มีอัตรารอดสูงกว่าคลอเรลลาที่เก็บรักษาด้วยสารละลายกลีเซอรอล อย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) เตตราเซลมิสที่เก็บรักษาด้วยสารละลายกลีเซออรอล มีอัตรารอดสูงกว่าเตตราเซลมิสที่เก็บรักษาด้วยสารละลาย DMSO อย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ในขณะที่คีโตเซอรอสมีอัตรารอดไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P>0.05)
การทดลองที่ 2 การศึกษาความเข้มข้นสารป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งต่ออัตราการรอดของเซลล์สาหร่ายขนาดเล็กที่เก็บรักษาเซลล์ด้วยวิธีการแช่แข็ง ทำการเลือกชนิดสารละลายป้องกันการแช่แข็งที่สาหร่ายแต่ละชนิดมีอัตรารอดสูง เลือกสารละลาย DMSO สำหรับสาหร่ายคลอเรลลา และเลือกสารละลายกลีเซอรอลสำหรับเตตราเซลมิส และคีโตเซอรอส ศึกษาความเข้มข้นของสารละลายป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็ง 2 ระดับคือ 5 และ 10% ทำการทดลอง เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผลการทดลองเหมือนการทดลองที่ 1 ผลการศึกษาพบว่า คลอเลรลลาที่เก็บรักษาเซลล์ด้วยสารละลาย DMSO ที่ระดับความเข้มข้น 5% มีอัตรารอดของสาหร่ายสูงกว่าการเก็บรักษาเซลล์ที่ระดับ 10% อย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) เตตราเซลมิสที่เก็บรักษาเซลล์ด้วยสารละลายกลีเซอรอลที่ระดับความเข้มข้น 5% มีอัตรารอดของเซลล์สาหร่ายมากกว่าการเก็บรักษาเซลล์ที่ระดับ 10% อย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) คีโตเซอรอสที่เก็บรักษาเซลล์ด้วยสารละลายกลีเซอรอลที่ระดับความเข้มข้น 5 และ 10% มีอัตรารอดไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (P>0.05) การทดลองที่ 3 การศึกษาผลของความเข้มข้นของไดทิลซัลฟอกไซด์ (Me2SO) และระยะเวลาการเก็บรักษาเซลล์ต่ออัตราการรอดของสาหร่ายขนาดเล็กด้วยวิธีแช่แข็ง ทำการเพาะเลี้ยงคลอกเรลลา และคีโตเซอรอส ที่ความเค็ม 30 ppt ด้วยอาหารสูตร Guillard's medium เก็บรวบรวมเซลล์และเติมไดเมทิลซักฟอกไซด์ 2 ระดับ ที่ 5 และ 10% นำไปลดอุณหภูมิแล้วนำไปแช่ที่อุณหภูมิ -20C เป็นเวลา 3, 30, 60 และ 90 วัน เมื่อครบกำหนดการเก็บรักษาเซลล์สาหร่ายทำการละลาย ล้างเซลล์แล้วนำไปเพาะเลี้ยง ทำการคำนวณอัตราการรอดของสาหร่าย ผลการศึกษาพบว่าคลอเรลลาที่เก็บรักษาเซลล์นาน 3 และ 30 วัน ด้วย DMSO เข้มข้น 5% มีอัตราการรอดสูงกว่าคลอเรลลาที่เก็บรักษาเซลล์นาน 60 และ 90 วัน อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ที่ระดับ DMSO เข้มข้น 10% คลอเรลลาที่เก็บรักษาเซลลืนาน 3 วัน มีอัตราการรอดสูงสุดและมากกว่าคลอเรลลาที่เก็บรักษาในช่วงเวลาอื่นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) อัตราการรอดของคลอเรลลาจะลดลงเมื่อเวลาในการเก็บรักษาเซลล์นานขึ้น คลอเรลลาที่เก็บรักษาเซลล์ด้วย DMSO เข้มข้น 5% มีอัตราการรอดสูง คลอเรลลาที่เก็บรักษาเซลล์ด้วย DMSO เข้มข้น 10% ที่วันที่ 3 และ 30 อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) คีโตเซอรอสที่เก็บรักษาเซลล์ด้วย DMSO ทั้งสองระดับ ในทุกช่วงเวลาที่เก็บรักษาเซลล์มีอัตราการรอดต่ำกว่า 1% ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็ยว่าสามารถเก็บรักษาเซลล์คลอเรลลาได้ด้วยไดเมทิลซัลฟอกไซด์ความเข้มข้น 5%
2561-01-01T00:00:00Z
การทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องส่งถ่ายโปรตีนจากเจลสู่เมมเบรน (Western Blot Transfer System for Mini-Gel) ระหว่างแบบถังเปียก (Wet/Tank Blotting Systems) รุ่น Mini Trans-Blot® Cell และ แบบกึ่งแห้ง (Semi dry) รุ่น Trans-Blot® Turbo™ Transfer System ในการตรวจสอบระดับโปรตีนไวเทลลินในแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ
ศรีภาพรรณ ธาระนารถ
รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/5084
2023-01-16T08:42:05Z
2559-01-01T00:00:00Z
Title: การทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องส่งถ่ายโปรตีนจากเจลสู่เมมเบรน (Western Blot Transfer System for Mini-Gel) ระหว่างแบบถังเปียก (Wet/Tank Blotting Systems) รุ่น Mini Trans-Blot® Cell และ แบบกึ่งแห้ง (Semi dry) รุ่น Trans-Blot® Turbo™ Transfer System ในการตรวจสอบระดับโปรตีนไวเทลลินในแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ
Authors: ศรีภาพรรณ ธาระนารถ; รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ
Abstract: การศึกษานี้เป็นการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องส่งถ่ายโปรตีนจากเจลสู่เมมเบรน (Western Blot Transfer System for Mini-Gel) ระหว่างแบบถังเปียก (Wet/Tank Blotting Systems) รุ่น Mini Trans-Blot® Cell และแบบกึ่งแห้ง (Semi dry) รุ่น Trans-Blot® Turbo™ Transfer System ในการตรวจสอบระดับโปรตีนไวเทลลินในแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำที่เลี้ยงจากบ่อดิน โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 6 ชุดการทดลองคือ กุ้งไม่ถูกตัดตาได้รับอาหารเม็ดปกติหรือชุดควบคุม (N=12), กุ้งที่ถูกตัดตา 1 ข้างได้รับอาหารเม็ดปกติ (N=12), กุ้งที่ได้รับอาหารเม็ดผสมฮอร์โมน 10, 50, 100 และ 500 mg/kg ของอาหาร (N=16, 16, 16 และ 8) ตามลำดับ โดยเลี้ยงเป็นระยะเวลา 60 วัน เก็บตัวอย่างรังไข่ ตับ/ตับอ่อนและเลือด ในวันที่ 35 และ 60 วันของการเลี้ยง
จากการหาค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ดัชนีรังไข่ของวันที่ 35 พบว่า ในชุดการทดลองที่ 2 มีค่าสูงกว่าการทดลองอื่น (1.78±0.65%) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนกุ้งที่เลี้ยงเป็นระยะเวลา 60 วัน มีค่าเปอร์เซ็นต์ดัชนีรังไข่ไม่แตกต่างกันทางสถิติในทุกชุดการทดลอง จากการวัดปริมาณโปรตีนในแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ พบว่า ในเลือดมีปริมาณโปรตีนสูงที่สุด (16.07–314.55 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร) เมื่อเทียบกับรังไข่ (0.25–8.10 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร) และตับ/ตับอ่อน (0.92–8.79 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร) ที่มีปริมาณโปรตีนที่ใกล้เคียงกัน จากการตรวจสอบรูปแบบโปรตีนในเลือด รังไข่ และตับ/ตับอ่อน ด้วย 10% โพลีอะครีลาไมด์เจล (SDS-PAGE) พบแถบโปรตีนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จำนวน 20-40 แถบ
เมื่อศึกษาขนาดของโปรตีนไวเทลลินด้วยวิธีเวสเทิร์นบลอท โดยเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องส่งถ่ายโปรตีนจากเจลสู่เมมเบรนระหว่างแบบถังเปียก รุ่น Mini Trans-Blot® Cell และแบบกึ่งแห้ง รุ่น Trans-Blot® Turbo™ Transfer System โดยใช้แอนตี้บอดีที่จำเพาะต่อโปรตีนไวเทลลินของกุ้งกุลาดำ พบว่า ตัวอย่างกุ้งที่เลี้ยงเป็นระยเวลา 35 วัน และ 60 วัน พบโปรตีนไวเทลลินจำนวน 13 และ 15 ขนาด ตามลำดับ โดยมีขนาดโปรตีนที่เหมือนกันคือ 200, 157, 130, 104, 74, 63, 58, 38 และ 34 กิโลดาลตัน แถบโปรตีนที่ได้จากการส่งถ่ายโปรตีนจากเจลสู่เมมเบรนแบบกึ่งแห้งจะปรากฎแถบโปรตีนที่มีความคมชัดมากกว่าแบบถังเปียก จากการเปรียบเทียบระดับโปรตีนไวเทลลินในแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำที่เลี้ยงเป็นระยะเวลา 35 และ 60 วัน ที่ได้จาก 2 วิธี พบการปรากฏและไม่ปรากฎของแถบโปรตีนที่ให้ผลตรงกันคิดเป็นร้อยละ 89.32 และ 94.44 ตามลำดับ การปรากฏของแถบโปรตีนที่ไม่ตรงกันคิดเป็นร้อยละ 10.68 และ 5.56 ตามลำดับ และ พบว่า ทั้ง 2 วิธี ให้ผลของการปรากฏแถบโปรตีนจำนวนเท่ากันคิดเป็นร้อยละ 50 การวิเคราะห์แบบกึ่งแห้งให้จำนวนแถบโปรตีนมากกว่าแบบถังเปียกคิดเป็นร้อยละ 46.67 ในขณะที่การวิเคราะห์แบบถังเปียกให้จำนวนแถบโปรตีนมากกว่าแบบกึ่งแห้งคิดเป็นร้อยละ 3.33
Description: ทุนอุดหนุนการวิจัย ประเภทเงินรายได้ คณะเทคโนโลยีทางทะเล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559
2559-01-01T00:00:00Z
เส้นใยอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาหร่ายทะเลขนาดใหญ่ ในพื้นที่ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
ภควรรณ เศรษฐมงคล
รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ
กัญญารัตน์ สุนทรา
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4392
2022-10-05T04:22:08Z
2563-01-01T00:00:00Z
Title: เส้นใยอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาหร่ายทะเลขนาดใหญ่ ในพื้นที่ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
Authors: ภควรรณ เศรษฐมงคล; รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ; กัญญารัตน์ สุนทรา
Abstract: การศึกษาปริมาณเยื่อใยในสาหร่ายทะเลขนาดใหญ่ 3 ชนิด ได้แก่ Chaetomorpha sp. Sargassum sp. และ Gracilaria sp. พบว่า Gracilaria sp มีปริมาณเยื่อรวมทั้งหมดสูงสุด 55.58 % รองลงมาคือสาหร่าย Sargassum sp. (49.00%) และ Chaetomorpha sp. (36.42%) เมื่อนำปริมาณเยื่อรวมทั้งหมดมาแจกแจงเป็นกลุ่มเยื่อใยที่ละลาย และกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำพบว่า Gracilaria sp. มีปริมาณเยื่อใยดังกล่าวสูงสุด 6.97 และ 48.61% ตามลำดับ เมื่อนำสาหร่ายทะเลทั้ง 3 ชนิดมาทดสอบสกัดเยื่อใยแบบหยาบ (Crude fiber extraction) ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน 3 วิธี ได้แก่ วิธีที่ 1) การสกัดด้วยน้ำร้อน วิธีที่ 2) การสกัดด้วยด่างและตัวทำละลายอินทรีย์ และวิธีที่ 3) การสกัดด้วยเอนไซม์ หลังจากนั้นจึงนำเยื่อใยแบบหยาบที่สกัดได้ไปวิเคราะห์ปริมาณเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน ด้วยวิธี Detergent Method พบว่า การสกัดเยื่อใยด้วยวิธีที่ 3 (การสกัดด้วยเอนไซม์) ทำให้สาหร่ายทั้ง 3 ชนิดมีปริมาณเซลลูโลสสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสกัดอื่น ๆ โดยสาหร่าย Chaetomorpha sp. เป็นชนิดที่ตรวจพบปริมาณเซลลูโลสในสารสกัดเยื่อใยแบบหยาบสูงที่สุด (77.48%) ส่วนวิธีที่ 1 (การสกัดด้วยน้ำร้อน) เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการสกัดเฮมิเซลลูโลส โดยสาหร่าย Gracilaria sp. เป็นชนิดที่มีปริมาณเฮมิเซลลูโลสสูงสุด (56.61%) โดยสาหร่ายทั้ง 3 ชนิดมีปริมาณลิกนินต่ำอยู่ในช่วง 4.47 0.57%
เมื่อนาเยื่อใยของสาหร่ายทั้ง 3 ชนิดที่สกัดด้วยวิธีการที่แตกต่างกันมาตรวจสอบสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่า สาหร่าย Gracilaria sp. ที่สกัดด้วยวิธีที่ 2 (การสกัดด้วยด่างและตัวทำละลายอินทรีย์) มีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดสูงสุด (0.213±0.016 mg_GAE/g) เมื่อตรวจสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH free radical scavenging activity พบว่า เยื่อใยสาหร่ายจาก Chaetomorpha sp. ที่สกัดด้วยวิธีที่ 1 (การสกัดด้วยน้ำร้อน) มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูงสุดเมื่อ เปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระกับเยื่อใยที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเลในชุดการทดลองอื่น ๆ โดยมี ค่า IC50 เท่ากับ 10,503.16 ± 516.93 ppm แต่เมื่อเปรียบเทียบฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระดังกล่าวกับสารมาตรฐานวิตามินซีพบว่า มีค่าต่ำกว่าสารมาตรฐาน 4,049.02 เท่า โดยเยื่อใยที่สกัดได้จากสาหร่ายส่วนใหญ่มีค่า pH เป็นกลางในช่วง 7.27 7.77 นอกจากนี้พบว่า ความชื้นในสารสกัดเยื่อใยมีค่าต่ำสุดในสาหร่าย Chaetomorpha sp. (0.82 ± 0.26%) ที่สกัดด้วยวิธีที่ 3 (การสกัดด้วยเอนไซม์) ส่วนเยื่อใยจากสาหร่าย Gracilaria sp. ที่สกัดด้วยเอนไซม์มีความสามารถในการอุ้มน้ำของใยอาหารสูงสุด 0.32 ± 0.01%
Description: ทุนอุดหนุนการวิจัยจากแหล่งเงินรายได้มหาวิทยาลัย กองทุนวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา ประจำปีงบประมาณ 2562
2563-01-01T00:00:00Z
ผลผลิตมวลชีวภาพและไขมันจากสาหร่ายน้ำเค็มที่เลี้ยงภายใต้สภาวะการเติบโตแตกต่างกัน
มะลิวัลย์ คุตะโค
ปวีณา ตปนียวรวงศ์
ชลี ไพบูลย์กิจกุล
รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4049
2022-10-08T07:38:56Z
2561-01-01T00:00:00Z
Title: ผลผลิตมวลชีวภาพและไขมันจากสาหร่ายน้ำเค็มที่เลี้ยงภายใต้สภาวะการเติบโตแตกต่างกัน
Authors: มะลิวัลย์ คุตะโค; ปวีณา ตปนียวรวงศ์; ชลี ไพบูลย์กิจกุล; รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ
Abstract: สาหร่าย 4 ชนิด ที่แยกได้จากบริเวณบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและแหล่งน้ำเค็มธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจันทบุรี คือ Nitzschia sp. สายพันธุ์ BUUC1501 Amphora subtropicsa BUUC1502 Chlorella protothecoides BUUC1602 และ Amphora coffereformis นามาเพาะเลี้ยงภายใต้สภาวะออโตโทรฟิค มิกโซโทรฟิคและเฮเทอโรโทรฟิค พบว่าสาหร่าย Nitzschia sp. สายพันธุ์ BUUC1501, Amphora subtropicsa BUUC1502, Chlorella protothecoides BUUC1602 และ Amphora coffereformis เติบโตได้ดีในสภาวะออโตโทรฟิคและมิกโซโทรฟิค ส่วนในสภาวะเฮเทอโรโทรฟิคพบว่าเซลล์เติบโตได้ต่ำ เมื่อเพาะเลี้ยงสาหร่าย Nitzschia sp. สายพันธุ์ BUUC1501, A. subtropicsa BUUC1502, C. protothecoides BUUC1602 และ A. coffereformis ในขวด 2 ลิตร พบว่าเซลล์ที่เพาะเลี้ยงในสภาวะออโตโทรฟิคมีชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าเซลล์ที่เลี้ยงในสภาวะมิกโซโทรฟิค นอกจากนี้ยังพบว่าสาหร่ายมีกรดไขมัน C16:0 และ C18:1 เป็นชนิดเด่นทั้ง 2 สภาวะการเลี้ยงในการเพาะเลี้ยงแบบต่อเนื่องพบว่าสาหร่าย Nitzschia sp. สายพันธุ์ BUUC1501, A. subtropicsa BUUC1502, C. protothecoides BUUC1602 และ A. coffereformis ต้องใช้อัตราการเจือจางที่ให้ผลผลิตสูงสุด คือ 1.28, 1.12, 0.73 และ 1.27 ต่อวัน ตามลำดับ การขยายขนาดการเพาะเลี้ยงสาหร่ายในถังปฏิกรณ์ชีวภาพขนาด 50 ลิตร ในสภาวะออโตโทรฟิคภายนอกห้องปฏิบัติการ พบว่าสาหร่าย C. protothecoides ให้ความหนาแน่นเซลล์สูงสุดได้สูงถึง 1013 x 104 เซลล์ต่อมิลลิลิตร และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนสูงถึง 23.21 และ 35.21 เปอร์เซ็นในกรดไขมันทั้งหมด ตามลำดับ
Description: โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
2561-01-01T00:00:00Z